UN Secretary-General’s Special Address on Climate Action: “A Moment of Opportunity”
เรียน ท่านผู้มีเกียรติทั้งหลาย
สุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ
และมิตรสหายจากทั่วทุกมุมโลก
พาดหัวข่าวในวันนี้เต็มไปด้วยเรื่องราวของโลกที่กำลังประสบปัญหา
จากความขัดแย้งและความโกลาหลของสภาพภูมิอากาศ
จากความทุกข์ทรมานของมนุษย์ที่เพิ่มมากขึ้น
จากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
ทว่าท่ามกลางความวุ่นวายเหล่านั้น ยังมีอีกหนึ่งเรื่องราวที่กำลังถูกเขียนขึ้น
และเรื่องนี้จะส่งผลอย่างลึกซึ้งต่ออนาคตของพวกเรา
ตลอดประวัติศาสตร์ พลังงานได้หล่อหลอมวิถีชีวิตของมนุษยชาติ ตั้งแต่การใช้ไฟ การควบคุมไอน้ำ จนถึงการแยกอะตอม
บัดนี้ พวกเรากำลังก้าวสู่ยุคใหม่
ยุคที่พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลกำลังถึงทางตัน
และรุ่งอรุณแห่งยุคพลังงานสะอาดกำลังมาถึง
หากดูเม็ดเงินก็จะทราบว่า
เมื่อปีที่ผ่านมา การลงทุนในพลังงานสะอาดมีมูลค่าสูงถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์
มากกว่าการลงทุนในเชื้อเพลิงฟอสซิลถึง 8 แสนล้านดอลลาร์ และเพิ่มขึ้นเกือบ 70% ภายในเวลา 10 ปี
ข้อมูลล่าสุดจากสำนักงานพลังงานหมุนเวียนระหว่างประเทศ (IRENA)
แสดงให้เห็นว่า พลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้ยังแพงกว่าเชื้อเพลิงฟอสซิลถึง 4 เท่าตอนนี้มีต้นทุนต่ำลงถึง 41%
พลังงานลมในทะเล ถูกลง 53%
และกว่า 90% ของพลังงานหมุนเวียนใหม่จากทั่วโลก
สามารถผลิตไฟฟ้าได้ในราคาถูกกว่าเชื้อเพลิงฟอสซิลทางเลือกชนิดใหม่
นี่ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลงใน ด้านพลังงานหรืออำนาจ
แต่มันคือการเปลี่ยนแปลงใน ความเป็นไปได้
ใช่—ซึ่งเราหมายถึงความเป็นไปได้ในการฟื้นคืนความสมดุลกับสภาพภูมิอากาศของโลก
แค่พลังงานแสงอาทิตย์และลมก็ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนได้ใกล้เคียงกับปริมาณการปล่อยทั้งปีของทั้งสหภาพยุโรปแล้ว
แต่การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ไม่เป็นเพียงแค่เรื่องของความมั่นคงด้านพลังงาน แต่ยังเป็นเรื่องของความมั่นคงในชีวิตของผู้คนด้วย
มันคือเรื่องของเศรษฐกิจชาญฉลาด
มันคือเรื่องของงานที่มีคุณค่า สาธารณสุข และการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน
และจัดหาพลังงานสะอาดในราคาที่เหมาะสมให้แก่ทุกคนในทุกพื้นที่
ด้วยแรงสนับสนุนของหน่วยงานของสหประชาชาติ
รวมถึง สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ สำนักงานพลังงานหมุนเวียนระหว่างประเทศ องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ และธนาคารโลก วันนี้เราจะเผยแพร่รายงานพิเศษ “ช่วงเวลาแห่งโอกาส: มุ่งหน้าสู่ยุคสมัยแห่งพลังงานสะอาด”
รายงานฉบับนี้แสดงให้เห็นว่า เราได้เดินทางมาไกลเพียงใดในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา นับตั้งแต่ข้อตกลงปารีสจุดประกายการปฏิวัติด้านพลังงานสะอาด
พร้อมทั้งชี้ให้เห็นถึง ประโยชน์อย่างมหาศาล และ การดำเนินการที่จำเป็นต่อการเร่งการเปลี่ยนผ่านอย่างเป็นธรรมทั่วโลก
พลังงานหมุนเวียนมีความสามารถในการผลิตไฟฟ้าทั่วโลก เกือบเท่ากับพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลแล้ว
และนั่นเพิ่งเป็นเพียงจุดเริ่มต้น
ปีที่ผ่านมา กำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่แทบทั้งหมดมาจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน
ทุกทวีปบนโลกได้เพิ่มกำลังผลิตจากพลังงานหมุนเวียนมากกว่าเชื้อเพลิงฟอสซิล
รวมทั้งพลังงานหมุนเวียนผลิตไฟฟ้าเกือบหนึ่งในสามของทั้งโลก
อนาคตแห่งพลังงานสะอาดไม่เป็นเพียงแค่คำสัญญาอีกต่อไป แต่คือข้อเท็จจริง
ไม่ว่ารัฐบาลใด อุตสาหกรรมใด หรือกลุ่มผลประโยชน์ใดก็ไม่สามารถหยุดยั้งการเปลี่ยนแปลงนี้ได้
แน่นอนว่า กลุ่มอิทธิพลที่สนับสนุนเชื้อเพลิงฟอสซิลจะพยายามขัดขวางทุกวิถีทาง
และเราก็รู้ดีว่า…พวกเขาจะทำได้ถึงขั้นไหน
แต่ผมไม่เคยมั่นใจเท่านี้มาก่อนว่า พวกเขาจะไม่สามารถหยุดยั้งเราได้
เพราะเราได้ก้าวผ่านจุดที่ไม่อาจย้อนกลับไปแล้ว
ด้วยเหตุผลอันทรงพลัง 3 ประการ
ประการแรก: กลไกทางเศรษฐกิจ
ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา การปล่อยคาร์บอนกับการเติบโตทางเศรษฐกิจมักจะเพิ่มขึ้นควบคู่กัน
แต่ไม่ใช่อีกต่อไป
ในหลายประเทศที่พัฒนาแล้ว การปล่อยคาร์บอนแตะระดับสูงสุดแล้ว
แต่เศรษฐกิจก็ยังเติบโตต่อไปได้
เฉพาะในปี พ.ศ. 2566 เพียงปีเดียว ภาคพลังงานสะอาด ขับเคลื่อนการเติบโตของ GDP โลกถึง 10%
ในอินเดีย: 5%
สหรัฐอเมริกา: 6%
จีน — ผู้นำด้านการเปลี่ยนผ่านพลังงาน — 20%
และในสหภาพยุโรป สูงถึงเกือบ 33%
นอกจากนี้ ในปัจจุบัน จำนวนงานในภาคพลังงานสะอาดได้แซงภาคอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นที่เรียบร้อย แล้วโดยมีการจ้างงานกว่า 35 ล้านคนทั่วโลก
แม้แต่รัฐเท็กซัส — ศูนย์กลางของอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลในสหรัฐอเมริกา —
วันนี้กลับกลายเป็นผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียนของประเทศ
เพราะอะไร
เพราะมัน มีเหตุผลทางเศรษฐกิจ
แม้เป็นเช่นนั้น เชื้อเพลิงฟอสซิลยังคงได้รับเงินอุดหนุนด้านการบริโภค มากกว่าพลังงานหมุนเวียนถึง 9 เท่า ซึ่งถือเป็น การบิดเบือนกลไกตลาดอย่างชัดเจน
และเมื่อเรานับรวมถึงต้นทุนความเสียหายจากวิกฤติสภาพภูมิอากาศ
ต่อมนุษย์และโลกของเราเข้าไปด้วย
การบิดเบือนนี้ยิ่งรุนแรงขึ้นอีก
บรรดาประเทศที่ยังยึดติดกับเชื้อเพลิงฟอสซิล
ไม่ได้กำลังปกป้องเศรษฐกิจของตนเอง
หากแต่กำลังบ่อนทำลายมันด้วยตัวเอง
พวกเขากำลัง ผลักต้นทุนให้สูงขึ้น
บั่นทอนขีดความสามารถในการแข่งขัน
และผูกพันเศรษฐกิจของตนไว้กับโรงงาน ระบบพลังงาน และเทคโนโลยีที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล — ซึ่งจะตกขบวนและไร้มูลค่าในอนาคต
พวกเขากำลังพลาดโอกาสทางเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งศตวรรษที่ 21
ทุกท่านครับ
ประการที่สอง: พลังงานหมุนเวียนได้มาถึงแล้วและจะคงอยู่ต่อไป
เพราะมันคือรากฐานของความมั่นคงและอธิปไตยด้านพลังงาน
ขอพูดให้ชัดว่า
ภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดต่อความมั่นคงด้านพลังงานในวันนี้คือ เชื้อเพลิงฟอสซิล
มันคือตัวการที่ทำให้เศรษฐกิจทั้งระบบ และชีวิตของผู้คน
ต้องตกอยู่ภายใต้ความเสี่ยงจาก ราคาที่ผันผวน
ความล่าช้าหรือหยุดชะงักในการจัดหาพลังงาน
และ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์
ลองมองย้อนกลับไปที่สงครามในยูเครน
สงครามเพียงครั้งเดียวในยุโรปกลายเป็นชนวนของวิกฤตพลังงานระดับโลก
ราคาน้ำมันและก๊าซพุ่งทะยาน
ค่าไฟและค่าอาหารก็ปรับตัวสูงขึ้นตาม
ในปีพ.ศ. 2565 ครัวเรือนทั่วโลก
มีค่าใช้จ่ายด้านพลังงานเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 20%
เศรษฐกิจยุคใหม่ที่มีการแข่งขันได้ ต้องการพลังงานที่มั่นคงและราคาเข้าถึงได้
และพลังงานหมุนเวียนก็มอบสิ่งเหล่านี้ได้จริง
ไม่มีราคาพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วสำหรับแสงอาทิตย์
ไม่มีการคว่ำบาตรสำหรับสายลม
พลังงานหมุนเวียนมอบพลัง — ทั้งในแง่รูปธรรมและเชิงสัญลักษณ์ —
ให้แก่ผู้คนและรัฐบาล
และแทบทุกประเทศในโลก
ต่างก็มีแสงแดด ลม หรือแหล่งน้ำมากพอ
ที่จะพึ่งพาตนเองทางด้านพลังงานได้
พลังงานหมุนเวียน หมายถึงความมั่นคงที่แท้จริง
อธิปไตยด้านพลังงานที่แท้จริง
และเสรีภาพที่แท้จริงจากความผันผวนของเชื้อเพลิงฟอสซิล
บิลค่าไฟและค่าอาหารก็พุ่งตามมา
ในปี พ.ศ. 2565 ครัวเรือนทั่วโลกต้องแบกรับค่าใช้จ่ายด้านพลังงานเพิ่มขึ้นเฉลี่ยถึง 20%
เศรษฐกิจที่ทันสมัยและสามารถแข่งขันได้ ต้องอาศัยพลังงานที่มั่นคงและราคาเข้าถึงได้ และพลังงานหมุนเวียนก็สามารถให้ทั้งสองสิ่งนี้ได้จริง
ทุกท่านครับ
ประการที่สาม—และเป็นเหตุผลประการสุดท้ายว่าทำไมเราจะไม่มีวันหวนกลับจากพลังงานหมุนเวียน — ก็คือ การที่พลังงานหมุนเวียนเข้าถึงได้ง่าย
คุณไม่สามารถที่จะสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินไว้ในสวนหลังบ้านของใครได้
แต่คุณสามารถส่งมอบแผงโซลาร์เซลล์ให้กับหมู่บ้านที่ห่างไกลที่สุดในโลกได้
พลังงานจากแสงอาทิตย์และสายลมสามารถนำไปใช้ได้เร็วกว่า มีราคาถูกกว่า และมีความยืดหยุ่นกว่าพลังงานฟอสซิลแบบเดิมอย่างมาก
และแม้ว่าพลังงานนิวเคลียร์จะเป็นส่วนหนึ่งของระบบพลังงานโลก
แต่พลังงานนิวเคลียร์ไม่สามารถเติมเต็มช่องว่างของการเข้าถึงพลังงานได้
ทั้งหมดนี้ คือการพลิกเกมครั้งสำคัญ
สำหรับผู้คนนับร้อยล้านคนทั่วโลกที่ยังไม่มีไฟฟ้าใช้
ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในทวีปแอฟริกา — ทวีปที่เปี่ยมไปด้วยศักยภาพด้านพลังงานหมุนเวียน
ภายในปี พ.ศ. 2583
ทวีปแอฟริกาจะสามารถผลิตไฟฟ้าได้มากกว่าความต้องการถึง 10 เท่า
และทำได้จากพลังงานหมุนเวียนทั้งสิ้น
เรากำลังได้เห็นพลังงานหมุนเวียนขนาดเล็กและนอกระบบไฟฟ้าหลัก (off-grid)
ให้แสงสว่างกับครัวเรือนและจ่ายไฟให้กับโรงเรียนและภาคธุรกิจแล้วในหลายพื้นที่
และในบางประเทศอย่างเช่นปากีสถาน
“พลังของผู้บริโภค” กำลังผลักดันให้เกิดกระแสโซลาร์เฟื่องฟู
ผู้บริโภคคือตัวเร่งสำคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด
ทุกท่านครับ
การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานกำลังเกิดขึ้นอย่างไม่อาจหยุดยั้งได้
แต่กระบวนการนี้ยัง ไม่เร็วพอ และ ไม่เป็นธรรมพอ
ในปัจจุบัน ประเทศในกลุ่ม OECD และประเทศจีน คิดเป็น 80% ของกำลังการผลิตพลังงานหมุนเวียนที่ติดตั้งทั่วโลก
ประเทศบราซิลและประเทศอินเดียมีสัดส่วนรวมกันอยู่ที่เกือบ 10%
ขณะที่ทั้งทวีปแอฟริกา คิดเป็นเพียง 1.5% เท่านั้น
ในขณะเดียวกัน วิกฤตสภาพภูมิอากาศก็ยังคงทำลายชีวิตและวิถีชีวิตของผู้คนอย่างต่อเนื่อง
ภัยพิบัติจากสภาพอากาศในประเทศหมู่เกาะขนาดเล็กทำลาย GDP ไปมากกว่า 100%
ในสหรัฐอเมริกา ภัยพิบัติเหล่านี้ทำให้เบี้ยประกันภัยพุ่งทะยาน
และเป้าหมายจำกัดอุณหภูมิไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส
ก็กำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤตอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
หากเราต้องการรักษาเป้าหมาย 1.5 องศาให้ยังคงอยู่ในมือ
พวกเราจำเป็นต้องเร่งการลดการปล่อยคาร์บอนมากขึ้นอีก
และขยายการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดให้เร็วขึ้นและกว้างไกลขึ้น
ด้วยกำลังการผลิตที่แข่งขันสูงขึ้น ราคาที่ดิ่งลง
และการประชุม COP30 ที่ใกล้เข้ามา
นี่คือช่วงเวลาแห่งโอกาสของพวกเรา
และพวกเราต้องคว้ามันไว้
พวกเราสามารถทำได้ ด้วยการลงมือในโอกาส 6 ด้านสำคัญ
ประการแรก: ใช้แผนปฏิบัติการด้านสภาพภูมิอากาศแห่งชาติใหม่ เพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านพลังงานสะอาดอย่างเต็มรูปแบบ
บ่อยครั้งที่รัฐบาลหลายประเทศยัง “ส่งสารที่ขัดแย้งกันเอง”
วันนี้ตั้งเป้าหมายพลังงานหมุนเวียนอย่างหนักแน่น
วันรุ่งขึ้นกลับอุดหนุนหรือขยายเชื้อเพลิงฟอสซิล
แผนปฎิบัติการณ์ด้านสภาพภูมิอากาศระดับชาติฉบับถัดไป หรือ Nationally Determined Contributions (NDCs) มีกำหนดยื่นภายในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
แผนเหล่านี้จะต้องสร้างความชัดเจนและความมั่นใจ
กลุ่มประเทศ G20 ต้องเป็นผู้นำ เพราะพวกเขาคือผู้ปล่อยคาร์บอนถึง 80% ของทั้งโลก
แม้จะมีหลักการ “ความรับผิดชอบร่วมกันแต่แตกต่างกัน”
แต่ ทุกประเทศต้องลงมือทำมากกว่าที่เคย
ก่อนถึงการประชุม COP30 ที่ประเทศบราซิลในเดือนพฤศจิกายนนี้
พวกเขาจะต้องยื่นแผนใหม่
ผมขอเชิญผู้นำแต่ละประเทศ ยื่นและนำเสนอแผน NDC ฉบับใหม่
ในงานที่ผมจะจัดขึ้นในเดือนกันยายนนี้
ในช่วงสัปดาห์การประชุมระดับสูงของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ
แผนเหล่านี้ต้อง:
ครอบคลุมการปล่อยคาร์บอนทุกภาคเศรษฐกิจ
สอดคล้องกับเป้าหมายจำกัดอุณหภูมิไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส
ผนวกประเด็นด้านพลังงาน ภูมิอากาศ และการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) เข้าไว้เป็นภาพเดียวกัน
ดำเนินการตามคำมั่นสัญญาระดับโลก ได้แก่
เพิ่มประสิทธิภาพพลังงานเป็น 2 เท่า และเพิ่มกำลังการผลิตพลังงานหมุนเวียนเป็น 3 เท่า ภายในปี พ.ศ. 2573
และเร่งการเปลี่ยนผ่านออกจากเชื้อเพลิงฟอสซิลไปสู่พลังงานสะอาด
นอกจากนี้แผนเหล่านี้จะต้องมี แผนแม่บทระยะยาว เพื่อเปลี่ยนผ่านอย่างเป็นธรรมสู่ระบบพลังงานที่ปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ ให้ทันภายในปี พ.ศ. 2593 พร้อมทั้งต้องได้รับการสนับสนุนด้วยนโยบายที่สะท้อนว่า “อนาคตพลังงานสะอาดไม่เพียงแต่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ยังควรค่าแก่การลงทุน”
นโยบายเหล่านั้นต้องกำหนดกฎระเบียบที่ชัดเจน พร้อมโครงการที่พร้อมดำเนินการ
ต้องสนับสนุนความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อปลดล็อกเงินทุนและนวัตกรรม
ต้องกำหนดราคาคาร์บอนอย่างมีนัยสำคัญ
และต้องยุติเงินอุดหนุนและการจัดสรรเงินทุนสาธารณะระหว่างประเทศให้กับเชื้อเพลิงฟอสซิล ตามที่ได้ให้คำมั่นไว้
ประการที่สอง: นี่คือช่วงเวลาแห่งโอกาสของพวกเราในการสร้างระบบพลังงานแห่งศตวรรษที่ 21
เทคโนโลยีกำลังก้าวล้ำไปข้างหน้า
ต้นทุนของระบบกักเก็บพลังงานสำหรับโครงข่ายไฟฟ้าลดลงกว่า 90% ในช่วงเวลาเพียง 15 ปี
แต่ปัญหาคือ
การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานยังไม่ทันกับความก้าวหน้า
ทุก ๆ 1 ดอลลาร์ที่ลงทุนในพลังงานหมุนเวียน
มีเพียง 60 เซนต์เท่านั้นที่ถูกใช้กับโครงข่ายไฟฟ้าและระบบกักเก็บพลังงาน
ทั้งที่อัตราส่วนนี้ควรจะเท่ากัน
พวกเรากำลังผลิตพลังงานสะอาดเพิ่มขึ้น
แต่ยังเชื่อมต่อเข้าระบบไฟฟ้าได้ไม่เร็วพอ
ขณะนี้มีพลังงานหมุนเวียนที่ รอการเชื่อมต่อ ถึง 3 เท่าของที่ติดตั้งได้เมื่อปีที่แล้ว
และพลังงานฟอสซิลก็ยังครองสัดส่วนหลักในระบบพลังงานโลก
พวกเราจำเป็นต้องลงมือและเร่งลงทุนใน โครงสร้างหลักของอนาคตพลังงานสะอาด อันได้แก่
โครงข่ายไฟฟ้าที่ทันสมัย ยืดหยุ่น เป็นดิจิทัล และเชื่อมโยงในระดับภูมิภาค
การขยายระบบกักเก็บพลังงานในวงกว้าง
โครงข่ายชาร์จพาหนะไฟฟ้า เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้ยานพาหนะที่ขับเคลื่อนโดยมอเตอร์ไฟฟ้า (EV)
และการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน พร้อมการใช้ไฟฟ้าตามอาคารต่าง ๆ ภาคขนส่ง และภาคอุตสาหกรรม
ทั้งหมดนี้คือหนทางในการปลดศักยภาพของพลังงานหมุนเวียน
และสร้างระบบพลังงานที่สะอาด ปลอดภัย และตอบโจทย์อนาคต
ประการที่สาม:นี่คือช่วงเวลาแห่งโอกาสของพวกเราในการตอบความต้องการพลังงานที่พุ่งสูงขึ้นของโลกอย่างยั่งยืน
วันนี้มีผู้คนจำนวนมากขึ้นที่เชื่อมต่อเข้าระบบไฟฟ้า
เมืองต่าง ๆ ร้อนขึ้น ความต้องการเครื่องทำความเย็นเพิ่มสูงขึ้น
และเทคโนโลยีใหม่ ๆ — ตั้งแต่ AI ไปจนถึงการเงินดิจิทัล — ก็กำลังใช้พลังงานอย่างมหาศาล
รัฐบาลต้องตั้งเป้าให้ ความต้องการพลังงานไฟฟ้าใหม่ทั้งหมด มาจากพลังงานหมุนเวียน
AI สามารถเพิ่มประสิทธิภาพ นวัตกรรม และความยืดหยุ่นของระบบพลังงาน
แต่ AI เองก็ใช้พลังงานมากอย่างเหลือเชื่อเช่นกัน
ศูนย์ข้อมูล AI หนึ่งแห่ง ใช้ไฟเท่ากับบ้าน 100,000 หลัง
และศูนย์ขนาดใหญ่ที่สุด จะใช้มากกว่าถึง 20 เท่า
ภายในปี พ.ศ. 2573 ศูนย์ข้อมูลทั่วโลกอาจใช้ไฟฟ้ามากเท่ากับที่ประเทศญี่ปุ่นใช้ทั้งประเทศในวันนี้
ทั้งหมดนี้ ไม่ยั่งยืน หากเราไม่ทำให้มันยั่งยืนเสียก่อน
อุตสาหกรรมเทคโนโลยีต้องเป็นแนวหน้า
วันนี้ ผมขอเรียกร้องให้บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่
หันมาใช้พลังงานหมุนเวียน 100% สำหรับศูนย์ข้อมูล ภายในปี พ.ศ. 2573
และเช่นเดียวกับอุตสาหกรรมอื่น ๆ พวกเขาต้องบริหารจัดการการใช้น้ำอย่างยั่งยืนในระบบระบายความร้อนของศูนย์ข้อมูล
อนาคตกำลังถูกสร้างในคลาวด์
แต่พลังที่ขับเคลื่อนต้องมาจากแสงอาทิตย์ สายลม และคำมั่นเพื่อโลกที่ดีกว่า
ประการที่สี่: นี่คือโอกาสแห่งความเป็นธรรมของพวกเราในการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน
ยุคพลังงานสะอาดต้องมาพร้อมกับ ความเสมอภาค ศักดิ์ศรี และโอกาส สำหรับทุกคน
นั่นหมายความว่ารัฐบาลต้องเป็นผู้นำในการเปลี่ยนผ่านอย่างเป็นธรรม
ผ่านการสนับสนุน การศึกษา และการฝึกอบรม
ให้กับแรงงานในอุตสาหกรรมฟอสซิล เยาวชน ผู้หญิง ชนพื้นเมือง และกลุ่มเปราะบางอื่น ๆ
เพื่อให้พวกเขาเติบโตได้ในเศรษฐกิจพลังงานยุคใหม่
เราต้องมีระบบประกันสังคมที่เข้มแข็ง เพื่อไม่ให้ใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
และต้องมีความร่วมมือระดับนานาชาติ เพื่อช่วยประเทศรายได้น้อยที่ยังต้องพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล และกำลังเผชิญความท้าทายในการเปลี่ยนผ่าน
แต่ ความเป็นธรรม ไม่ได้จบเพียงเท่านี้
แร่ธาตุสำคัญที่ใช้ขับเคลื่อนการปฏิวัติพลังงานสะอาด มักถูกขุดจากประเทศที่เคยถูกเอาเปรียบมาแสนนาน
และวันนี้ ประวัติศาสตร์กำลังซ้ำรอย
ชุมชนถูกละเมิด
สิทธิมนุษยชนถูกเหยียบย่ำ
สิ่งแวดล้อมถูกทำลาย
ประเทศเจ้าของทรัพยากรตกอยู่ท้ายห่วงโซ่คุณค่า ขณะที่บางประเทศเก็บเกี่ยวผลประโยชน์อย่างไม่เป็นธรรม
รูปแบบเศรษฐกิจที่กอบโกยทรัพยากรกำลังฉุดรั้งประเทศต่าง ๆ ให้จมลึกลงสู่ความเหลื่อมล้ำและความเสียหายที่หนักขึ้น
สิ่งนี้ต้องยุติลง
ประเทศกำลังพัฒนาสามารถมีบทบาทสำคัญในการสร้างความหลากหลายให้กับห่วงโซ่อุปทานของทรัพยากร
คณะกรรมการพิเศษของสหประชาชาติว่าด้วยแร่ธาตุเพื่อการเปลี่ยนผ่านพลังงาน
ได้เสนอแนวทางที่ตั้งอยู่บนหลัก สิทธิมนุษยชน ความยุติธรรม และความเสมอภาค
วันนี้ ผมขอเรียกร้องให้ รัฐบาล ภาคธุรกิจ และภาคประชาสังคม ร่วมมือกับเราเพื่อทำให้ข้อเสนอนี้เป็นจริง
มาร่วมกันสร้างอนาคตที่ ไม่ใช่แค่สีเขียว — แต่เป็นธรรม
ไม่ใช่แค่เร็ว — แต่เท่าเทียม
ไม่ใช่แค่เปลี่ยนแปลง — แต่ครอบคลุมทุกคน
ประการที่ห้า: พวกเรากำลังอยู่ในช่วงเวลาแห่งโอกาสที่จะใช้ การค้าและการลงทุน เป็นแรงขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด
พลังงานสะอาดต้องการมากกว่าแค่ ความทะเยอทะยาน
แต่ต้องการ การเข้าถึง — ทั้งเทคโนโลยี วัตถุดิบ และกำลังการผลิต
ซึ่งในขณะนี้ยังคงกระจุกตัวอยู่ในประเทศไม่กี่แห่ง
ยิ่งไปกว่านั้น ระบบการค้าโลกยังเริ่มมีรอยร้าว
เราจำเป็นต้องทำให้นโยบายการค้าเป็นพลังเสริมต่อการดำเนินนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศ
ประเทศที่มุ่งมั่นต่อการก้าวสู่ยุคพลังงานใหม่ ต้องร่วมมือกันเพื่อขับเคลื่อนการค้าและการลงทุนให้เดินหน้า โดยการ
สร้างห่วงโซ่อุปทานที่หลากหลาย ปลอดภัย และยืดหยุ่น
ลดภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าพลังงานสะอาด
เปิดทางให้การลงทุนและการค้า โดยเฉพาะผ่านความร่วมมือระหว่างประเทศกำลังพัฒนา (South–South Cooperation)
และปฏิรูปสนธิสัญญาการลงทุนที่ล้าสมัย โดยเริ่มจากบทบัญญัติว่าด้วยการระงับข้อพิพาทระหว่างนักลงทุนกับรัฐ (Investor-State Dispute Settlement)
ในปัจจุบัน กลุ่มผลประโยชน์จากอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลกำลังใช้กลไก ISDS เป็นเครื่องมือขัดขวางการเปลี่ยนผ่าน โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา
ดังนั้น การปฏิรูปต้องเกิดขึ้นอย่างเร่งด่วน
เพราะการแข่งขันสู่อนาคตใหม่ ต้องไม่ใช่การแข่งขันเพื่อคนไม่กี่กลุ่ม
แต่ต้องเป็น การส่งไม้ต่อ ที่ครอบคลุม มีส่วนร่วม และยืดหยุ่น
ขอให้เราร่วมกันเปลี่ยน การค้า ให้กลายเป็น เครื่องมือแห่งการเปลี่ยนแปลง
ประการที่หกและประการสุดท้าย: นี่คือโอกาสของพวกเราในการปลดปล่อยพลังของ การเงิน อย่างเต็มที่ เพื่อขับเคลื่อนการลงทุนสู่ตลาดที่มีศักยภาพสูงในการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน
แม้ความต้องการพลังงานสะอาดจะพุ่งสูง และประเทศกำลังพัฒนาจะมีศักยภาพมหาศาลในด้านพลังงานหมุนเวียน แต่ประเทศเหล่านี้กลับถูกกีดกันออกจากเส้นทางการเปลี่ยนผ่านดังกล่าว
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ แอฟริกา — ทวีปที่ครอบครองแหล่งพลังงานแสงอาทิตย์ที่ดีที่สุดถึง 60% ของโลก
แต่กลับได้รับการลงทุนในพลังงานสะอาดเพียง 2% ของโลกเมื่อปีที่ผ่านมา
เมื่อมองให้กว้างขึ้น เราจะเห็นภาพความเหลื่อมล้ำที่ชัดเจนขึ้น
ในทศวรรษที่ผ่านมา มีเพียง 1 ในทุก 5 ดอลลาร์ที่ลงทุนในพลังงานสะอาดที่ไปถึงประเทศกำลังพัฒนา (นอกเหนือจากประเทศจีน)
หากเราต้องการรักษาเป้าหมาย 1.5 องศา และสร้างการเข้าถึงพลังงานอย่างทั่วถึง
การลงทุนในพลังงานสะอาดต่อปีในประเทศเหล่านี้ต้องเพิ่มขึ้นมากกว่าห้าเท่าภายในปี พ.ศ. 2573
สิ่งนี้ต้องอาศัย นโยบายระดับชาติที่หนักแน่น และการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมในระดับสากลในการปฏิรูประบบการเงินโลก
เพิ่มขีดความสามารถในการปล่อยกู้ของธนาคารพัฒนาพหุภาคี (MDBs)
ให้มากขึ้น กล้าขึ้น และมีศักยภาพเพิ่มขึ้นที่จะดึงดูดการลงทุนภาคเอกชนจำนวนมหาศาลด้วยต้นทุนที่เหมาะสม
ดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อลดภาระหนี้ และขยายเครื่องมือที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผล เช่น
“การแลกเปลี่ยนหนี้เพื่อภูมิอากาศ” (Debt-for-climate swaps)
ในปัจจุบัน ประเทศกำลังพัฒนา
ต้องจ่ายต้นทุนทางการเงินที่แพงมหาศาล ทั้งในรูปแบบหนี้และการระดมทุนโดยการออกหุ้น
ส่วนหนึ่งเพราะแบบจำลองความเสี่ยงที่ล้าสมัย อคติ และสมมติฐานที่ไม่เป็นจริงอีกต่อไป
ซึ่งทำให้ต้นทุนการเงินสูงขึ้นเกินจริง
สถาบันจัดอันดับเครดิตและนักลงทุน ต้องปรับตัวให้ทันยุคสมัย
พวกเราจำเป็นต้องมีแนวทางใหม่ในการประเมินความเสี่ยงที่สะท้อนถึง ศักยภาพของพลังงานสะอาด
ต้นทุนที่สูงขึ้นของวิกฤตสภาพภูมิอากาศ
และอันตรายจากการลงทุนในทรัพย์สินพลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิลที่กำลังเสื่อมมูลค่า
ผมขอเรียกร้องให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกัน เพื่อแก้ไขปัญหาซับซ้อนที่บางประเทศกำลังพัฒนาต้องเผชิญในการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาด อาทิ การปลดระวางโรงไฟฟ้าถ่านหินก่อนกำหนด
ทุกท่านครับ
ยุคพลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิลกำลัง สั่นคลอน และ ล้มเหลว
พวกเรากำลังก้าวเข้าสู่รุ่งอรุณของยุคพลังงานใหม่
ยุคที่พลังงานราคาถูก สะอาด และอุดมสมบูรณ์ ขับเคลื่อนโลกที่เต็มไปด้วยโอกาสทางเศรษฐกิจ
ยุคที่ประเทศต่าง ๆ มีอธิปไตยด้านพลังงาน
และ ของขวัญแห่งพลังงาน ก็คือของขวัญสำหรับทุกคน
โลกแห่งพลังงานสะอาดอยู่ใกล้แค่เอื้อม
แต่จะไม่เกิดขึ้นเองหาก
ไม่รวดเร็วพอ
ไม่เป็นธรรมพอ
ทุกอย่างขึ้นอยู่กับพวกเรา
พวกเรามีเครื่องมือที่จะขับเคลื่อนอนาคตให้กับมนุษยชาติแล้ว
พวกเรามาใช้เครื่องมือเหล่านั้นให้เต็มศักยภาพ
นี่คือช่วงเวลาแห่งโอกาสของพวกเรา
ขอบคุณครับ