ความรุนแรงต่อสตรีและเด็กผู้หญิงคือการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นมากที่สุด ทุกที่ทั่วโลก
ทุก 11 นาที จะมีสตรีหรือเด็กผู้หญิงหนึ่งคนเสียชีวิตด้วยน้ำมือของคนรักหรือสมาชิกในครอบครัว และเราทราบดีว่าความเครียดอื่นๆ จากการระบาดของโควิด 19 ไปจนถึงปัญหาเศรษฐกิจ นำไปสู่ความรุนแรงทางร่างกายและคำพูดที่มากขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้
นอกจากนี้ สตรีและเด็กผู้หญิงยังเผชิญความรุนแรงในโลกออนไลน์ที่ไร้การควบคุม ตั้งแต่คำพูดแสดงความเกลียดชังต่อผู้หญิง ไปจนถึงการคุกคามทางเพศ การทำร้ายผ่านภาพถ่าย และการตีสนิทเพื่อล่วงละเมิดทางเพศ
การเลือกปฏิบัติ ความรุนแรง และการล่วงละเมิดเหล่านี้ที่กระทำต่อครึ่งหนึ่งของมนุษยชาติต้องแลกมาด้วยต้นทุนที่สูงลิ่ว เพราะมันจำกัดการมีส่วนร่วมของสตรีและเด็กผู้หญิงจากทุกช่วงชั้นของสังคม ปฏิเสธสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน และขัดขวางการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่เท่าเทียมกันและการเติบโตที่ยั่งยืนที่โลกต้องการ
ถึงเวลาแล้วที่เราต้องลงมือสร้างการเปลี่ยนแปลงเพื่อยุติความรุนแรงต่อสตรีและเด็กผู้หญิง ซึ่งนั่นหมายความว่า
รัฐบาลจะมีแผนปฏิบัติการระดับชาติ สนับสนุนงบประมาณ และดำเนินการตามแผน เพื่อแก้ไขหายนะครั้งนี้
ประชาชนระดับรากหญ้าและภาคประชาสังคมจะต้องได้มีส่วนร่วมในทุกขั้นตอนของการตัดสินใจ
คนต้องเคารพกฎหมายและมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด เพื่อให้ผู้รอดชีวิตเห็นว่าตนมีสิทธิที่จะได้รับความยุติธรรมและความช่วยเหลือ
โครงการรณรงค์ที่ท้าทายบรรทัดฐานแบบปิตาธิปไตยมุ่งปฏิเสธความเกลียดชังและความรุนแรงต่อผู้หญิงต้องได้รับการสนับสนุน
หัวข้อของปีนี้คือ “UNITE: Activism to End Violence Against Women and Girls” (รวมเป็นหนึ่ง: การเคลื่อนไหวเพื่อยุติความรุนแรงต่อสตรีและเด็กผู้หญิง) ย้ำเตือนว่าเราต้องยืนหยัดร่วมกับนักเคลื่อนไหวทั่วโลกที่เรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงและช่วยเหลือผู้รอดชีวิตจากความรุนแรง ผมเรียกร้องให้รัฐบาลเพิ่มงบประมาณอีกร้อยละ 50 ให้กับองค์กรและขบวนการเคลื่อนไหวด้านสิทธิสตรีภายในปี 2026
ร่วมแสดงจุดยืนและเปล่งเสียงเพื่อสนับสนุนสิทธิสตรี
ร่วมป่าวประกาศอย่างภาคภูมิใจว่าเราทุกคนสนับสนุนแนวคิดสตรีนิยม
ร่วมผลักดันให้ความรุนแรงต่อสตรีและเด็กผู้หญิงกลายเป็นเพียงสิ่งที่อยู่ในหนังสือเรียนประวัติศาสตร์