ล่าสุด
ข่าวประชาสัมพันธ์
14 มิถุนายน 2024
สำนักงานเพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติยินดีที่ประเทศไทยให้สัตยาบันอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ
เรียนรู้เพิ่มเติม
เรื่อง
31 พฤษภาคม 2024
มัฟฟิ่น-กรลภัส ครุธเวโช UN Peacekeeper ร้อยเอกหญิงชาวไทยกับการทำตามฝันด้านสันติภาพและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในภารกิจต่างแดน
เรียนรู้เพิ่มเติม
เรื่อง
30 พฤษภาคม 2024
อุ้ย-ศิริลักษณ์ จักรเพชร UN Peacekeeper หญิงไทย กับเส้นทางสู่ภารกิจเพื่อสันติภาพของวิศวกรโยธาในแคชเมียร์
เรียนรู้เพิ่มเติม
ล่าสุด
เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนใน ประเทศไทย
ทีมงานสหประชาชาติในประเทศไทยมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้ง 17 เป้าหมาย โดยเน้นความสำคัญของการพัฒนาอย่างยั่งยืนเชิงพื้นที่ (SDG localization) เพื่อนำวาระการพัฒนาระดับโลกสู่ชุมชนท้องถิ่นให้บรรลุผลลัพธ์ตามเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิผล ผลการดำเนินงานที่มีความโดดเด่นที่ผ่านมา ได้แก่ ความพยายามในการส่งเสริมระบบการคุ้มครองทางสังคมแบบบูรณาการสำหรับทุกคน (เป้าหมาย 1.3) การแก้ปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (เป้าหมายที่ 3.4) การให้การศึกษาที่ครอบคลุมซึ่งรวมถึงเด็กในกลุ่มผู้โยกย้ายถิ่นฐาน (เป้าหมาย 3.4) และการส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของสตรี (เป้าหมาย 5.5) อีกทั้งยังมุ่งเสริมพลังและความเข้มแข็งแก่วิสาหกิจขนาดกลางและย่อม และส่งเสริมนวัตกรรมจากคนรุ่นใหม่โดยเน้นสิทธิมนุษยชนในภาคธุรกิจและการพลิกโฉมวิสาหกิจด้วยระบบดิจิทัล (เป้าหมาย 8.3) การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุมซึ่งรวมถึงกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศสภาพ (LGBTI) (เป้าหมาย 10.2) รวมถึงการดำเนินงานด้านการอภิบาลแรงงานข้ามชาติเพื่อส่งเสริมให้เป็นไปอย่างปลอดภัย ถูกกฎหมาย และมีระเบียบที่ชัดเจน (เป้าหมาย 10.7) นอกจากนั้น องค์การสหประชาชาติยังได้ดำเนินการตามยุทธศาสตร์ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (เป้าหมาย 13.2) การจัดการขยะมูลฝอย (เป้าหมาย 11.6) และการเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมสีเขียว โดยมุ่งส่งเสริมอุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำและภาคการเงินและการลงทุนที่เกื้อหนุนอุตสาหกรรมสีเขียวในหมู่วิสาหกิจขนาดกลางและย่อม (เป้าหมาย 7.2) สนับสนุนสิทธิการเป็นพลเมืองที่ครอบคลุมเพื่อส่งเสริมการเข้าถึงสิทธิของประชาชน (เป้าหมาย 16.9) และแบ่งปันประสบการณ์และแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศของไทยกับนานาประเทศ ผ่านความร่วมมือไตรภาคีแบบใต้-ใต้ (เป้าหมาย 17.9) สู่การพลิกโฉมสังคมไทยไปพร้อมกับทุกภาคส่วน ให้มีความรุ่งเรือง มั่งคั่ง ยั่งยืน และครอบคลุม
ภาพ
04 กรกฎาคม 2024
Visit to Thale Noi Wetlands Globally Important Agricultural Heritage System
Thale Noi represents a leading example of adaptive management of biological and natural resources as well as co-evolution based on deep environmental knowledge.
1 of 5
https://www.flickr.com/photos/unthailand/albums/72177720316839876
เรื่อง
30 พฤศจิกายน 2023
หวนเยือนสามชุก ‘ตลาดมีชีวิต พิพิธภัณฑ์มีชีวา’
หัวใจของชุมชนคือศูนย์รวมประวัติศาสตร์และความใฝ่ฝันที่ชุมชนนั้นหวงแหน และในชุมชนที่มีสีสันอย่างตลาดสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี หัวใจที่ยังคงเต้นให้จังหวะอยู่ก็คือ บ้านขุนจำนงจีนารักษ์ บ้าน 3 ชั้นที่ทำจากไม้และคอนกรีตนี้มีอายุมากกว่า 100 ปี (สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2459) แต่เดิมเคยเป็นที่อยู่อาศัยของนายอากรประจำเขต ในปี พ.ศ. 2547 บ้านหลังนี้ได้รับการบูรณะและดัดแปลงให้เป็นพิพิธภัณฑ์ชุมชน ซึ่งการบูรณะครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการปฏิบัติการชุมชนและเมืองน่าอยู่ (พ.ศ. 2542–2549) ที่ริเริ่มโดยมูลนิธิชุมชนไท โดยมีการปรึกษาหารืออย่างใกล้ชิดกับสมาชิกชุมชน สามปีหลังจากที่โครงการนี้แล้วเสร็จ ความสำเร็จที่เด่นชัดในการฟื้นฟู ‘แบบองค์รวม’ ของ ‘ศูนย์กลางการค้าที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์’ แห่งนี้ ได้รับการยกย่องจากยูเนสโกด้วย Award of Merit จากการประกวดรางวัลเพื่อการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ประจำปี พ.ศ. 2552
ทุกวันนี้ พิพิธภัณฑ์บ้านขุนจำนงจีนารักษ์ยังคงปลูกฝังความซาบซึ้งในประวัติศาสตร์ท้องถิ่นและประเทืองความภาคภูมิใจให้กับชุมชนตลาดสามชุก นอกจากนี้ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ยังเป็นใจกลางของเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ ซึ่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับการค้าขายที่ดำรงมาอย่างต่อเนื่องเท่านั้น แต่ยังพึ่งพาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอีกด้วย เมื่อก้าวเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ สิ่งแรกที่ดึงดูดความสนใจทันทีก็คือ แบบจำลองย่านตลาดเก่านี้ ซึ่งเผยผังของตลาดได้อย่างชัดเจน มีร้านค้าห้องแถวไม้ 2 ชั้นกว่า 150 คูหา ตั้งเรียงรายทั้ง 2 ฝั่งของซอยหลัก 4 ซอยที่พาไปสู่แม่น้ำท่าจีน ซึ่งเป็นทางสัญจรทางน้ำที่ให้กำเนิดการตั้งถิ่นฐานเชิงพาณิชย์ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์แห่งนี้
สำหรับผู้ที่เดินชมและดื่มด่ำอยู่กับความคึกคักของตลาด อาจไม่ง่ายที่จะเข้าใจตรรกะของผังนี้โดยทันที เนื่องจากอาหารเลิศรส (เช่น เป็ดย่าง ข้าวห่อใบบัว และขนมสาลี่) งานหัตถกรรมของที่ระลึก และสินค้านานาประเภท ต่างแข่งกันเรียกร้องความสนใจ แต่ในความเงียบสงบของพิพิธภัณฑ์ขุนจำนงจีนารักษ์ ความวิจิตรลึกซึ้งระดับจุลภาคของแบบจำลอง ประกอบกับการจัดแสดงที่ให้ข้อมูลได้เป็นอย่างดี สื่อได้อย่างแรงกล้าว่า ตลอดระยะเวลาอันยาวนาน วิวัฒนาการของชุมชนนี้ได้สะท้อนปัจจัยทางสังคม วัฒนธรรม และเศรษฐกิจที่หล่อหลอมทั้งอำเภอสามชุกและที่อื่น ๆ ในภูมิภาคนี้อีกด้วย
ความอุดมสมบูรณ์ของลุ่มแม่น้ำท่าจีนเชื้อเชิญให้มนุษย์มาปักหลักอยู่อาศัยตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ตามวิถีความเป็นมาของที่ราบภาคกลางของประเทศไทย ผืนนายังคงพบเห็นได้ทั่วไปในพื้นที่นี้ หลักฐานทางโบราณคดีบ่งชี้ว่า บริเวณที่ปัจจุบันนี้มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า ‘อำเภอสามชุก’ ได้มีประชากรอาศัยอยู่ตั้งแต่สมัยทวาราวดี (พุทธศตวรรษที่ 11-16) และโบราณวัตถุทางพุทธศาสนาแบบมหายานจากพุทธศตวรรษที่ 18 ได้ถูกค้นพบที่เนินทางพระ ซึ่งเป็นศาสนสถานที่สำคัญที่สุดในอำเภอนี้
ประชากรของอำเภอสามชุกเพิ่มขึ้นอย่างมากในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น (พ.ศ. 2325-2394) ซึ่งการเติบโตนี้ขับเคลื่อนโดยการค้าข้าวและถ่านเป็นหลัก ในยุคที่สายน้ำคือเส้นโลหิตของการพาณิชย์ ตลาดสามชุกเฟื่องฟูในฐานะศูนย์กลางทางการค้าที่ผสมผสานผู้คนและวิถีปฏิบัติทางวัฒนธรรมจากหลากหลายเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ โดยเฉพาะพ่อค้าแม่ค้าชาวจีน
ในนิราศสุพรรณ ผลงานกวีนิพนธ์แบบโคลงประพันธ์โดยสุนทรภู่ (พ.ศ. 2329-2398) ซึ่งเล่าถึงการเดินทางไปสุพรรณบุรีในปี พ.ศ. 2385 (เพื่อค้นหาแร่ปรอทสำหรับการเล่นแร่แปรธาตุให้เป็นทองคำ) กวีเอกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ได้พรรณนานาม ‘สามชุก’ ไว้ว่า ทำให้นึกถึงเรือค้าที่ ‘รายจอดทอดท่าน้ำ’ และการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าอย่างคึกคัก
ตลาดสามชุกเข้าสู่ยุคทองในช่วงทศวรรษแรก ๆ ของศตวรรษที่ 20 อย่างไรก็ตาม หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มมีตลาดอื่น ๆ ที่ทันสมัยกว่าเกิดขึ้น และรูปแบบการคมนาคมที่เปลี่ยนจากการสัญจรทางน้ำไปสู่ถนนคอนกรีต (โดยเฉพาะถนนมาลัยแมน หรือ ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 321 ที่เชื่อมต่อจังหวัดสุพรรณบุรีไปยังกรุงเทพมหานคร ผ่านจังหวัดนครปฐม) ทำให้ตลาดสามชุกเริ่มเงียบเหงาซบเซาลงเรื่อย ๆ ในปี พ.ศ. 2549 กรมธนารักษ์ ในฐานะเจ้าของที่ดินและทรัพย์สินส่วนใหญ่ในสามชุก ได้ร่างแผนปรับปรุงพื้นที่ตลาดทั้งหมดให้ทันสมัยขึ้น ซึ่งหมายความว่าจะต้องเวนคืนที่อยู่อาศัยและรื้อถอนร้านค้าห้องแถวโบราณที่ตั้งอยู่ นี่จึงเป็นแรงกระตุ้นให้ชุมชนรวมตัวกันประท้วง เมื่อเล็งเห็นความพยายามของชุมชน กรมศิลปากรจึงกำหนดให้พื้นที่ตลาดสามชุกเป็น ‘ย่านประวัติศาสตร์’ ในปี พ.ศ. 2550 เพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูตลาดสามชุกจากระดับรากหญ้า ในที่สุด กรมธนารักษ์หันมาร่วมมือกับสมาชิกชุมชนเพื่อทำให้การฟื้นฟูของตลาดสามชุกมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และยั่งยืนกว่าที่ใคร ๆ ได้คาดคิดไว้ในตอนแรก
คำอธิบายของยูเนสโกในการมอบ Award of Merit ให้กับ ‘ชุมชนสามชุกและย่านตลาดเก่า’ ในปี พ.ศ. 2552 เน้นย้ำว่า ‘ชุมชนเป็นแรงผลักดันหลักสำหรับโครงการ[อนุรักษ์]ในทุกระดับ ตั้งแต่การกำหนดนโยบายไปจนถึงการสร้างแนวทางการออกแบบชุมชนเมือง’ ในแง่ของตัวอย่างความสำเร็จด้านเทคนิค ต้องย้อนกลับไปที่พิพิธภัณฑ์บ้านขุนจำนงจีนารักษ์ ที่นี่ ทีมงานจากโครงการอนุรักษ์ได้บันทึกรายละเอียดการก่อสร้างอย่างถี่ถ้วนสำหรับอาคารที่สร้างขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เพื่อเป็นที่พักสำหรับเจ้าหน้าที่ระดับท้องถิ่น รวมถึงรายละเอียดการตกแต่งที่ประณีต (เช่น กระเบื้องเซรามิกปูพื้นที่ตกแต่งด้วยการพิมพ์ซิลค์สกรีน) และวิธีการก่อสร้างโดยใช้คอนกรีตเสริมเหล็กและโครงไม้ ทั้งหมดนี้เพื่อให้แน่ใจว่าการบูรณะจะเคารพจิตวิญญาณของสถานที่ ทั้งในแง่ของวัสดุที่ใช้และคุณสมบัติด้านสุนทรียภาพ
คุณมนทกานติ์ สุวรรณทรรภ กิตติไพศาลศิลป์ เจ้าหน้าที่บริหารแผนงานด้านวัฒนธรรม ยูเนสโก กรุงเทพฯ กล่าวว่า ‘ในทางตรงกันข้ามกับแหล่งมรดกโลก ซึ่งต้องเป็นไปตามเกณฑ์ของคุณค่าที่โดดเด่นเป็นสากล การประกวดรางวัลเพื่อการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกมุ่งที่จะยกย่องความพยายามในการอนุรักษ์แบบล่างขึ้นบน ซึ่งริเริ่มโดยภาคเอกชนหรือผ่านความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน’ ดังที่ชุมชนตลาดสามชุกได้แสดงให้เห็น ความพยายามดังกล่าวไม่เพียงรักษามรดกอันทรงคุณค่าให้มีความหมายและมีจุดมุ่งหมายในบริบทปัจจุบันเท่านั้น แต่ยังเป็นนิมิตหมายที่ดีสำหรับการพัฒนาที่ยั่งยืนในระยะยาวของชุมชนท้องถิ่นอีกด้วย
1 of 5
![](/sites/default/files/styles/featured_content/public/2023-11/4643559245_2e65073cf5_o.jpg?itok=aC6u2fwr)
สิ่งพิมพ์
17 เมษายน 2023
การประเมินผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมต่อเด็กในประเทศไทย
รายงานการประเมินผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมต่อเด็กในประเทศไทย โดยสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย ฉบับนี้ได้ชี้ให้เห็นว่าเด็ก ๆ ทีเปราะบางต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อาทิ ภัยแล้ง คลื่นความร้อน และน้ำท่วม มากที่สุด อาศัยอยู่ในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหลือและภาคใต้ของประเทศไทย แผนที่ความเสี่ยงจากการศึกษาฉบับนี้เผยให้เห็น 10 จังหวัด (อุบลราชธานี นครราชสีมา ศรีษะเกษ นครศรีธรรมราช นาราธิวาส สุรินทร์ สงขลา บุรีรัมย์ ขอนแก่น และสุราษฎร์ธานี) มีความเสี่ยงสูงต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศระหว่างปี พ.ศ. 2559 - 2578 โดยเฉพาะภายใต้สถานการณ์ RCP4.5 (มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระดับปานกลาง)
การศึกษาชิ้นนี้ได้เสนอแนะนโยบายที่ให้ความสำคัญกับเด็กเพื่อลดผลกระทบจากปัญหาเหล่านี้ ได้แก่ การเสริมสร้างความตระหนักรู้และความรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้แก่เด็ก การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกในสถานศึกษาและสถานพยาบาลที่รองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การพัฒนาระบบเฝ้าระวังและเตือนภัยด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ให้ความสำคัญกับเด็ก
เอกสารรายงานสรุปย่อ รายละเอียดการศึกษา และเวอร์ชันสำหรับเด็ก พร้อมให้ดาวน์โหลดแล้ว
1 of 5
![](/sites/default/files/styles/featured_content/public/2023-04/Climate%20Change%20Impact%20Assessment%20-%20Full%20report.png?itok=icrJ2-H4)
ข่าวประชาสัมพันธ์
08 เมษายน 2024
Global efforts needed to combat waste trafficking to Southeast Asia, new research by UNODC and UNEP reveals
Bangkok (Thailand), 2 April 2024 - A first-ever mapping of waste trafficking trends from Europe to Southeast Asia has been published today. Produced by the UN Office on Drugs and Crime (UNODC) and the UN Environment Programme (UNEP), the new research sheds light on how criminal actors exploit legal trade and regulatory and enforcement loopholes for financial gain. It also explores the negative impact this crime has on the global circular economy.Southeast Asia remains a key destination for illicit waste shipments, the report reveals, with Europe, North America, and Asia identified as primary regions of origin. Common tactics include false declarations, a lack of or incorrect notifications to circumvent regulations and avoid controls, along with missing or inadequate licenses or documents. “In today’s globalized world, waste management has become an increasingly pressing concern in which production, consumption habits, waste crime, waste trafficking, corruption, organized crime, money laundering, and the circular economy are intertwined,” said Masood Karimipour, UNODC Regional Representative for Southeast Asia and the Pacific. “The crime of waste trafficking is taking away the value that legal, well-regulated waste trade brings to sustainable economies.”Data collected from four Southeast Asian countries, three major European Union ports, and international enforcement operations highlight efforts in tackling illegal waste shipments by both origin and destination countries. However, despite regulatory and enforcement measures implemented by countries in which illegal waste ends up — such as Indonesia, Malaysia, Thailand, and Viet Nam — waste trafficking continues to pose a major challenge in the region. “Waste trafficking is a crime that has a profound impact on the environment, bringing high profits and low risks to perpetrators. If we are to fight this crime, we must change this by closing regulatory gaps, increasing enforcement, and strengthening cooperation at home and abroad,” said Preeyaporn Suwannaked, Director-General of the Pollution Control Department of the Ministry of Natural Resources and Environment of Thailand.The report, titled Turning the Tide: A Look Into the European Union-to-Southeast Asia Waste Trafficking Wave, is a flagship within a series of publications that explore corruption, cybercrime, and legal loopholes as causes behind the problem. It is part of a comprehensive project (Unwaste) to address waste trafficking and its impact on the global circular economy.“The environmental impacts of waste trafficking are contributing to the pollution crisis and need to be addressed. To do this, we must pursue good environmental governance and robust environmental rule of law. Projects such as Unwasteare critical in tackling issues through a multi-sector, multi-disciplinary approach. UNEP is proud to be part of the project, which advances solutions aimed at ensuring a healthy planet and a sustainable future,” said Patricia Kameri-Mbote, Director of the Law Division in UNEP.Key types of waste trafficked include plastic, e-waste, metal, and paper, with mixed materials, textiles, vehicle parts, industrial, and medical waste also frequently encountered. Upon arrival at destination, take-back or repatriation procedures are a major challenge as shipments often cannot be traced to their countries of origin. Abandoned or unclaimed containers at ports exacerbate the issue, further complicating enforcement and investigation efforts. As a result, most waste ends up in illegal landfills, the ocean, or burnt in the open. Often, penalties are disproportionately low compared to the potential environmental and health damage inflicted on destination countries. The research also shows a concerning lack of available data to assess the full scale of waste trafficking and identify the connections between criminal actors involved.The report, which has been financed by the European Union, stresses the urgent need for further regulatory reforms, enhanced international cooperation, capacity development, research, and data along with stricter enforcement measures to combat waste trafficking effectively.Click here to access the report series.
1 of 5
สิ่งพิมพ์
08 เมษายน 2024
Turning the Tide: A Look Into the European Union-to-Southeast Asia Waste Trafficking Wave
This report, titled Turning the Tide: A Look Into the European Union-to-Southeast Asia Waste Trafficking Wave, is a flagship within a series of publications that explore corruption, cybercrime, and legal loopholes as causes behind the problem. It is part of a comprehensive project (Unwaste) to address waste trafficking and its impact on the global circular economy.Produced by the UN Office on Drugs and Crime (UNODC) and the UN Environment Programme (UNEP), the new research, which has been financed by the European Union, stresses the urgent need for further regulatory reforms, enhanced international cooperation, capacity development, research, and data along with stricter enforcement measures to combat waste trafficking effectively.Southeast Asia remains a key destination for illicit waste shipments, the report reveals, with Europe, North America, and Asia identified as primary regions of origin. Common tactics include false declarations, a lack of or incorrect notifications to circumvent regulations and avoid controls, along with missing or inadequate licenses or documents.Data collected from four Southeast Asian countries, three major European Union ports, and international enforcement operations highlight efforts in tackling illegal waste shipments by both origin and destination countries. However, despite regulatory and enforcement measures implemented by countries in which illegal waste ends up — such as Indonesia, Malaysia, Thailand, and Viet Nam — waste trafficking continues to pose a major challenge in the region.Learn why waste trafficking is a growing concern in the publication. Click here to access the report, Web of Waste Investigating the Risk of Waste Crimes in Cyber-Space.
Click here to access the main report, Legal Frameworks to Address Waste Trafficking in the ASEAN region – Review and Gap Analysis.
Click here to access the main report, Cash in the Trash The Role of Corruption, Organized Crime and Money Laundering in Waste Trafficking.
Click here to learn more about the Unwaste project.
Click here to access the main report, Legal Frameworks to Address Waste Trafficking in the ASEAN region – Review and Gap Analysis.
Click here to access the main report, Cash in the Trash The Role of Corruption, Organized Crime and Money Laundering in Waste Trafficking.
Click here to learn more about the Unwaste project.
1 of 5
![](/sites/default/files/styles/featured_content/public/2024-04/Screenshot%202567-04-08%20at%2016.06.02.png?itok=ZkpkL-h2)
เรื่อง
31 พฤษภาคม 2024
มัฟฟิ่น-กรลภัส ครุธเวโช UN Peacekeeper ร้อยเอกหญิงชาวไทยกับการทำตามฝันด้านสันติภาพและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในภารกิจต่างแดน
UN Peacekeeper: When She Stands For Peaceความฝันวัยเด็กสู่การเป็นเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพเราฝันอยากเป็นนักการทูตมาตั้งแต่เด็ก ๆ ช่วงปิดเทอมสมัยเรียนคณะอักษรศาสตร์ จึงตั้งใจไปฝึกงานที่กรมพิธีการทูต กระทรวงการต่างประเทศ รวมถึงกองความร่วมมือระหว่างประเทศ สำนักนโยบายและแผน กระทรวงกลาโหม หลังเรียนจบก็ทำงานบริษัทเอกชนสักพัก แล้วจึงมาสมัครเป็นทหาร เพราะจริง ๆ แล้วในกองทัพมีส่วนงานเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้วย อย่างในกองพิธีการทูต กรมข่าวทหาร กองบัญชาการกองทัพไทยที่เราทำงานอยู่ที่มาสมัครเป็นทหาร เพราะเราลองสมัครเข้ากระทรวงการต่างประเทศหลายรอบแล้ว แต่ไม่ประสบความสำเร็จ รุ่นพี่คนหนึ่งเห็นความตั้งใจของเราที่อยากจะทำงานด้านนี้ จึงแนะนำว่าจริง ๆ แล้วในกองทัพมีส่วนงานเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้วย เลยตัดสินใจเบนเข็มมาเป็นทหารค่ะ โดยสังกัดของเราคือกองพิธีการทูต กรมข่าวทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย เกือบ 4 ปีที่แล้ว ตอนช่วงการระบาดของโควิด 19 เรามีโอกาสได้เข้าร่วมอบรมการพิทักษ์และคุ้มครองเด็ก (Child Protection Course) กับศูนย์สันติภาพไทย เลยได้รู้จักอาชีพเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพซึ่งผู้หญิงก็สมัครได้ แถมบางตำแหน่งระบุเลยด้วยว่าต้องการเจ้าหน้าที่หญิงโดยเฉพาะ เรามองว่านี่เป็นอีกเส้นทางสู่การทำตามฝันด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และยังเป็นงานที่มีประโยชน์ได้ช่วยเหลือผู้เดือดร้อน เมื่อยศถึงร้อยเอกตามข้อกำหนดจึงไปเข้าสอบและผ่านการคัดเลือกค่ะ ทำไมจึงได้มาประจำการอยู่ที่ซูดานใต้?ภารกิจที่เจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพชาวไทยเข้าร่วมได้มี 3 แห่ง ซึ่งผู้ผ่านการคัดเลือกเป็นเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพไม่สามารถเลือกได้ว่าจะถูกส่งไปประจำการที่ไหน อาจเป็น United Nations Interim Security Force for Abyei (UNISFA) ชายแดนระหว่างซูดานและซูดานใต้ The United Nations Military Observer Group in India and Pakistan (UNMOGIP) บริเวณแคชเมียร์ หรือ The United Nations Mission in South Sudan (UNMISS) ที่ซูดานใต้การสอบมีหลายรอบทั้งความรู้เกี่ยวกับองค์การสหประชาชาติและการปฏิบัติงานด้านสันติภาพ ความรู้ภาษาอังกฤษ และสมรรถภาพร่างกาย ซึ่งต้องทดสอบวิดพื้น ลุกนั่ง และวิ่ง โดยต้องผ่านเกณฑ์ 50 เปอร์เซนต์ของอายุเราด้วย ไม่อย่างนั้นไม่ผ่าน การเตรียมตัวก็มีไปฝึกวิ่งค่ะ ทำให้เป็นนิสัย ร่างกายจะได้ชิน และการสอบรอบที่สำคัญมาก ๆ เลยคือรอบภาษาอังกฤษ ซึ่งนอกจากการประเมินที่เมืองไทย เมื่อมาถึงพื้นที่ปฏิบัติงานจะมีการทดสอบภาษาอังกฤษอีกรอบ ถ้าใครไม่ผ่านอาจจะถูกส่งกลับได้เลย ตอนแรกเรารู้สึกว่าภาษาอังกฤษของตัวเองคล่องพอสมควรแล้ว แต่เมื่อมาที่นี่กลับเหมือนอยู่อีกโลกนึงเลย เพราะได้สื่อสารกับคนหลากหลายสำเนียงมาก ๆ ต้องปรับตัวให้ทันก่อนออกประจำการเรายังได้เข้าฝึกอบรมคอร์ส The United Nations Staff Officer Course (UNSOC) และอบรมคอร์ส The United Nations Military Observer Course (UNMOC) พร้อมเพื่อนเจ้าหน้าที่จากชาติอื่น ๆ เพื่อเรียนรู้การเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานของสหประชาชาติ จากนั้นได้ฝึกสังเกตการณ์ ฝึกลาดตระเวน ฝึกสัมภาษณ์เก็บข้อมูล และสถานการณ์สมมติในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า รวมถึงฝึกเดินป่า แบกเป้เป็นสิบกิโลกรัม นับว่าหินพอสมควรค่ะกว่าจะผ่านทั้งหมด ภารกิจที่ซูดานใต้ในแต่ละวันเป็นยังไงบ้าง?กรณีของเราต่างจากเจ้าหน้าที่คนอื่นสักหน่อย เพราะมีการเปลี่ยนหน้าที่ระหว่างปฏิบัติภารกิจด้วย 3 เดือนแรก ตำแหน่งงานแรกของเราคือผู้สังเกตการณ์ทางทหาร หรือ The United Nations Military Observer (UNMO) ที่เมืองรุมเบค (Rumbek) หน้าที่หลักคือการลาดตระเวน เก็บข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ความเป็นไปในพื้นที่กับคนท้องถิ่น การปรากฏตัวของเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพจะช่วยให้ชาวบ้านอุ่นใจและรู้สึกปลอดภัยว่ามีคนดูแล เมื่อกลับมาถึงสถานีก็เขียนรายงานข้อมูลที่ได้รับต่อมาเราได้รับเลือกจากรองผู้บัญชาการทหารสังเกตการณ์ (Deputy Chief Military Observers หรือ DCMO) ให้เข้ามาทำงานที่สำนักงานใหญ่ในกรุงจูบา (Juba) ตำแหน่งงานคือเจ้าหน้าที่ประสานงานบูรณาการของศูนย์ปฏิบัติการร่วม (Joint Operations Center-Integrated Liaison Officer หรือ JOC-ILO) โดยเราจะเป็นผู้ประสานงานเรื่องการนำเข้าและส่งออกสิ่งของที่ต้องส่งมอบไปยังทีมไซต์ต่าง ๆ (Import and Export Consignment) ช่วยให้การหมุนเวียนกองกำลังจากประเทศสนับสนุนเป็นไปอย่างราบรื่น (Troop Contributing Countries หรือ TCC) รวมถึงทำเรื่องเอกสารขอวีซ่าในกรณีที่จะมีคณะเข้ามาตรวจเยี่ยมในภารกิจ โดยเราปฏิบัติงานในตำแหน่งนั้นอยู่ประมาณ 6 เดือน ข้อดีของการได้ปฏิบัติงานทั้งสองตำแหน่งคืออะไร?ทั้งสองตำแหน่งมีความท้าทาย ตอนเป็น UNMO เราได้ทำงานในพื้นที่จริง ๆ ได้สัมผัสเรื่องราวของคนท้องถิ่นด้วยตัวเอง ซึ่งข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้รับนั้นมีความอ่อนไหว ทั้งยังเป็นพื้นที่ที่ถ่ายรูปยากมาก แค่ยกกล้องขึ้นมาก็มีสิทธิ์ทำผิดกฎหมายท้องถิ่นเลย แต่ละวันต้องลุ้นว่าจะสามารถเข้าพื้นที่ได้มั้ย แม้ว่าก่อนลาดตระเวนจะมีการสำรวจพื้นที่จากกองกำลังป้องกัน (Force Protection) แล้วว่าไปได้ แต่พอถึงเวลาจริงอาจเกิดฝนตก สภาพอากาศไม่ดี ด้วยความที่ถนนไม่ได้ราบเรียบอาจทำให้รถติดหล่ม ต้องไปเข็นรถจากหลุมบ่อโคลนก็เคยมาแล้ว กลับมาแรก ๆ เหนื่อยและเพลียมาก แต่ก็ท้าทายค่ะ ไหนจะต้องขับรถระวังไม่ให้ไปชนสัตว์ที่ขวางทางรถอีก เพราะถ้าชนทีเป็นเรื่องแน่ ๆ กฏหมายที่นี่แรงและค่าปรับก็สูงมากเมื่อได้ย้ายมาที่สำนักงานใหญ่ในเมืองหลวง จากในไซต์เล็ก ๆ ของตัวเอง เราต้องเรียนรู้เนื้องานทั้งหมดของทั้ง 10 ทีมไซต์ ได้ตระหนักถึงความยิ่งใหญ่ของภารกิจ ความท้าทายเป็นอีกแบบ เราต้องประสานงานเรื่องเอกสารต่าง ๆ คุยกับผู้มีอำนาจในการตัดสินใจในท้องถิ่น เพื่อให้การลาดตระเวนรวมถึงการปฏิบัติงานต่าง ๆ ลุล่วงไปได้ด้วยดี เราต้องทำอย่างไรก็ได้ให้เอกสารได้รับการอนุมัติไวที่สุด ตั้งแต่เอกสารเรื่องไฟลท์บินจนถึงเรื่องส่งคนเจ็บระหว่างรัฐ เอกสารพวกนี้ไม่สามารถล่าช้าได้ เพราะถ้าล่าช้า ทุกคนจะเดือดร้อนไปหมด เช่น กองร้อยที่หมดภารกิจแล้วกลับบ้านไม่ได้ ผลัดต่อมาที่จะมาเปลี่ยนก็มาต่อไม่ได้ กดดันไม่น้อยเลยค่ะ เพราะการปฏิบัติงานของเราสามารถส่งกระทบได้ต่อทั้งภารกิจจริง ๆ เราเพิ่งได้รับแจ้งจากรองผู้บัญชาการทหารสังเกตการณ์ว่ากำลังจะย้ายเราไปตำแหน่งงานใหม่อีกครั้ง น่าจะเป็นตำแหน่งสุดท้ายเพราะเราเหลือเวลาปฏิบัติภารกิจอีกแค่ไม่กี่เดือนก็จะครบหนึ่งปีตามข้อกำหนด ครั้งนี้เราจะทำหน้าที่ผู้ฝึกสอนและประเมิน UNMO รุ่นใหม่จากประเทศต่าง ๆ ในการเข้ามาภารกิจ UNMISS ค่ะปฏิบัติหน้าที่มาหลากหลาย คุณคิดว่าเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพหญิงสำคัญยังไงต่อภารกิจ?หลายเดือนที่ผ่านมา เราได้เห็นว่าผู้หญิงทำอะไรได้มากมายจริง ๆ และไม่ใช่แค่ได้ทำนะ แต่ทำได้ดีด้วย อย่างหัวหน้า UN Police (UNPOL) ในภารกิจ UNMISS ที่เราปฏิบัติงานอยู่ก็เป็นผู้หญิงชาวนอร์เวย์ชื่อคุณคริสติน ฟอสเซน (Ms. Christine Fossen) โดยเธอดูแลตำรวจในภารกิจทั้งหมดไม่รู้กี่ร้อยกี่พันคน เก่งมาก ๆในมุมของการเป็นเจ้าหน้าที่หญิง บางพื้นที่ที่มีความอ่อนไหวสูง การมีเจ้าหน้าที่หญิงลงไปปฏิบัติงานช่วยให้สถานการณ์ตึงเครียดน้อยลง อย่างตอนที่ทีมของเราพยายามไปสัมภาษณ์ทหารชาวซูดานใต้ บางทีเขาไม่ยอมตอบคำถามหรือไม่ให้ถ่ายรูป แต่พอเป็นเจ้าหน้าที่หญิง เขาก็อ่อนลงและหลายครั้งก็ยินดีให้ข้อมูล หรือกับเยาวชนในพื้นที่ การได้เห็นเจ้าหน้าที่หญิงในชุดปฏิบัติการเดินไปเดินมา เขามองว่าเราเท่จังและมีแรงบันดาลใจในการเรียนหนังสือและพัฒนาตัวเองส่วนในมุมของการเป็นเจ้าที่ชาวไทย เราภูมิใจมากค่ะ เพราะคนไทยมักได้รับคำชมจากผู้บังคับบัญชาไม่ว่าจะในตำแหน่งใดก็ตามว่าทำงานเก่ง มีความตั้งใจ ซึ่งจริง ๆ เราก็ทำงานตามมาตรฐานปกติที่เมืองไทยนั่นแหละ แต่มันเป็นมาตรฐานที่ดีจึงได้รับคำชื่นชม เพื่อนร่วมงานก็ชื่นชมเหมือนกันเพราะคนไทยเป็นมิตร มีน้ำใจช่วยเหลือคนอื่นตลอด บทเรียนที่ได้รับและการเป็นเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพหญิงตอบโจทย์ความฝันคุณยังไงบ้างสิ่งที่ได้เรียนรู้เหมือนจะทั่วไปแต่ก็สำคัญ คือการยอมรับความแตกต่าง เจ้าหน้าที่ที่เราทำงานด้วยมาจากหลายประเทศทั่วโลก ทุกอย่างเปิดกว้างและหลากหลายมาก ดังนั้นเราต้องรับความแตกต่างได้ เช่น เรื่องศาสนา ซึ่งนอกจากศาสนาหลัก ๆ อย่างพุทธ คริสต์ อิสลาม ก็ยังมีรูปแบบความศรัทธาอื่น ๆ อีก เราต้องเรียนรู้ที่จะเข้าใจคนอื่น เปิดใจถึงเหตุผลเบื้องหลังการกระทำของเขา และประนีประนอมเพื่อหาจุดร่วมตรงกลางให้ได้เกือบหนึ่งปีที่ผ่านมา ภารกิจ UNMISS มอบโอกาสให้ได้เติมเต็มความฝันที่ตั้งใจไว้จริง ๆ เราได้ลงพื้นที่ไปเก็บข้อมูลและสัมผัสสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยตัวเอง และยังได้ทำงานในสำนักงานใหญ่ประจำกรุงจูบาเพื่อประสานงานให้ฝ่ายต่าง ๆ ปฏิบัติงานอย่างราบรื่น เราได้เรียนรู้ว่าในแต่ละภารกิจประกอบไปด้วยส่วนงานต่าง ๆ มากมาย หลายองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญ การทำงานด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศตลอดจนด้านสันติภาพจึงมีหลายเส้นทางอาชีพให้เลือกเดิน ในอนาคตถ้ามีโอกาส เราจะสอบเข้ามาทำงานเป็นเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพอีกแน่นอนค่ะ เรื่อง มิ่งขวัญ รัตนคช / เรียบเรียง นฤปนาท เหรัญญะ, รมย์รวินท์ พันธรักษ์, รัชชานนท์ ครื้นจิตต์, ลภิศรา ไกรวีระเดชาชัย / ภาพ ภูเบศ สง่ารักษ์TAG: #UNPeaceKeeper #WomanInPeaceKeeping #PKDay #ServingForPeace #Goal16
1 of 5
![](/sites/default/files/styles/featured_content/public/2024-05/S__6914420.jpg?itok=rAJAJJWk)
เรื่อง
30 พฤษภาคม 2024
อุ้ย-ศิริลักษณ์ จักรเพชร UN Peacekeeper หญิงไทย กับเส้นทางสู่ภารกิจเพื่อสันติภาพของวิศวกรโยธาในแคชเมียร์
UN Peacekeeper: When She Stands For Peaceแรงบันดาลใจสู่การเป็นเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพ?‘เราต้องเรียนรู้ที่จะทำงานไม่ใช่เพียงเพื่อตัวเอง ครอบครัว หรือชาติของเราเท่านั้น แต่เพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติทั้งหมดด้วย’ คือคำพูดของดาไลลามะบนธงมนตราเล็กๆ ที่เราซื้อกลับมาจากทริปท่องเที่ยวภูมิภาคลาดักห์ (Ladakh) ประเทศอินเดียเมื่อ 7 ปีก่อน ถ้อยคำนั้นเป็นแรงบันดาลใจให้เราสมัครเป็นทหารในกองทัพไทยเพื่อทำงานรับใช้บ้านเมือง จนหลายปีต่อมาเรามีโอกาสได้เข้าฟังการบรรยายของเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพหรือ UN Peacekeeper หญิงชาวไทยเกี่ยวกับหน้าที่และความสำคัญของการรักษาสันติภาพ โดยกองทัพไทยสนับสนุนทหารหญิงให้เข้าร่วมปฏิบัติภารกิจพิเศษในพื้นที่ที่มีความขัดแย้งซึ่งผู้หญิงและเด็กจำนวนมากตกเป็นเป้าหมาย หรือตกเป็นหยื่อแห่งความรุนแรงรูปแบบต่างๆ จึงจำเป็นต้องมีการเพิ่มเจ้านวนเจ้าหน้าที่หญิงในพื้นที่การฟังบรรยายวันนั้นจุดประกายให้เราอยากเข้าร่วมทำภารกิจด้วย เพื่อเพื่อนมนุษย์คนอื่น ๆ ตามคำพูดของดาไลลามะที่ยังแปะอยู่บนผนังจากทริปครั้งนั้น เราจึงสมัครเข้าทดสอบเพื่อเป็นเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพ เมื่อสอบผ่านจึงถูกส่งมาประจำการในภารกิจ United Nations Military Observer Group In India and Pakistan ซึ่งเหมือนเป็นโชคชะตาเลยค่ะ เพราะพื้นที่แคชเมียร์นับว่าอยู่ในโซนเดียวกับลาดักห์ ซึ่งเป็นจุดตั้งต้นความคิดที่อยากจะทำงานเพื่อคนอื่นของเรา เล่าชีวิตการทำงานของเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพให้ฟังหน่อย?เนื้องานหลักๆ จะเป็นการสังเกตการณ์ทางทหาร ประเมินสถานการณ์โดยทั่วไป และรายงานไปยังสำนักงานใหญ่ของภารกิจ ในสถานีที่เราประจำการอยู่จะมีเพื่อนร่วมงานที่เป็นเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพจากประเทศอื่น ๆ ด้วย 4-5 คน โดยเราจะเวียนตำแหน่งงานกัน ทุกคนจะได้สลับกันเป็นหัวหน้าทีมออกลาดตระเวนและหัวหน้าสถานีที่ต้องรับผิดชอบงานเอกสารต่าง ๆวันที่ออกลาดตระเวน เราจะไปพูดคุยกับคนในพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูลความเป็นไปของสถานการณ์ต่างๆ สอบถามชาวบ้านว่าเดือดร้อนหรือต้องการความช่วยเหลืออะไรบ้างไหม บางวันออกไปสังเกตการณ์บริเวณชายแดนว่ามีความเคลื่อนไหวของกองกำลังทหารระหว่างอินเดียและปากีสถานไหม บางวันออกไปตรวจเยี่ยมทหารในพื้นที่ คุยกับเพื่อนในทีม แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ เมื่อกลับมาถึงสถานี เราก็จะเขียนสรุปรายงานและส่งไปยังสำนักงานใหญ่ที่กรุงอิสลามาบัด (Islamabad) และสำนักงานใหญ่ยูเอ็นที่นิวยอร์ก ทุกวันนี้วันที่ออกลาดตระเวนจริง ๆ ค่อนข้างสงบนะ เพราะทั้งสองฝ่ายได้มีข้อตกลงหยุดยิงระหว่างกันแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่มีความแน่นอน ต้องคอยระวัง อุปสรรคซึ่งจะเป็นเรื่องสภาพอากาศมากกว่าบริเวณชายแดนตรงนี้เป็นพื้นที่ภูเขาสูงชัน ถนนบางส่วนลาดยาง บางส่วนเป็นหินลูกรัง ถ้าฝนตกหรือมีหิมะตกก็ต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะถนนจะลื่นมาก หรืออาจจะมีหินถล่มลงมาได้ง่าย และสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ถ้าก้อนหินเล็ก ๆ ก็ไม่เป็นไร แต่บางทีหล่นมาใหญ่ขนาดเท่ารถบัสทั้งคัน ทั้งเราและคนขับต้องคอยสังเกตให้ดี คอยเตือนกัน เคยมีครั้งนึงถนนมีหิมะปกคลุมมาก ประมาณเมตรนึง รถผ่านไปไม่ได้ จึงต้องเดินขึ้นเขาไป แต่ไปไม่ถึงก็ต้องกลับ เพราะเราเป็นคนพื้นที่ราบ เดินบนหิมะไม่เป็น ทั้งลื่นทั้งล้ม สุดท้ายต้องกลับ ทำให้เรารู้เลยว่าคนที่นี่เขาลำบากขนาดไหน หิมะตกขนาดนี้ เขาอยู่กันบนเขา ลงมาไม่ได้แน่นอน น้ำไฟก็ไม่มี เขาจะใช้ชีวิตกันยังไง คิดถึงตรงนี้เราก็อยากให้สถานการณ์ดีขึ้นอีก อยากให้พื้นที่ตรงนี้สงบสุขและมีความเจริญเข้ามาถึง มุมมองคนท้องถิ่นต่อเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพหญิงเป็นยังไง?เราสังเกตว่าปฏิกิริยาของคนท้องถิ่นกับเจ้าหน้าที่หญิงจะต่างจากเจ้าหน้าที่ชายพอสมควร เวลาเรานั่งคุยกับกลุ่มแม่บ้านและเด็ก ๆ พวกเราจะจับมือกัน บางทีก็โอบกอดกัน มันจึงมีความใกล้ชิดสนิทสนมกันมากกว่า สำหรับชาวบ้านผู้ชายและเจ้าหน้าที่ชาย แม้จะพูดคุยอย่างเป็นมิตรเหมือนกัน แต่ทางกายภาพจะไม่ใกล้ชิดเท่าเจ้าหน้าที่หญิงครั้งนึงระหว่างปฏิบัติภารกิจ คุณยายท่านหนึ่งซึ่งดูมีอายุมาก ท่านคุยกับเราแล้วอยู่ ๆ จับมือเรายกขึ้นจูบที่หลังมือ ซึ่งมารู้ทีหลังว่าการกระทำแบบนี้แสดงถึงความเคารพ โดยคนแถบนี้จะปฏิบัติแค่กับครูอาจารย์ พ่อแม่และคนที่แก่กว่าเท่านั้น จากเหตุการณ์นั้นเลยทำให้เรารู้ว่าคนท้องถิ่นมีมุมมองที่ดีมากต่อเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพ การยกมือเจ้าหน้าที่หญิงอย่างเราขึ้นจูบไม่ได้เกิดขึ้นแค่ครั้งเดียว แต่เกิดขึ้นหลายครั้ง ซึ่งต่อมาเราก็เรียนรู้ที่จะจูบมือพวกเขาตอบด้วยเพื่อแสดงความเคารพเช่นกันแล้วเด็กๆ ในท้องถิ่นล่ะ มองเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพหญิงแบบไหน?จากประสบการณ์เราคิดว่าเด็ก ๆ มองเจ้าหน้าที่เป็นไอดอลเลย ทั้งเจ้าหน้าที่หญิงและชาย เพราะเขามองว่าเราอยู่ตรงนี้เพื่อคุ้มครอง ช่วยให้เขาปลอดภัยเขานะ แทบทุกที่ที่ไปจะมีคนมาขอถ่ายรูปด้วยตลอดมีเหตุการณ์ประทับใจอีกครั้งหนึ่ง คือที่หน้าสถานีของเราจะมีโรงเรียนประถม-มัธยมศึกษาตั้งอยู่ วันนั้นเรากำลังเดินกลับจากตลาด อยู่ ๆ ครูใหญ่ของโรงเรียนก็มาชวนให้ไปเข้าร่วมพิธีจบภาคการศึกษาและยังให้เราเป็นคนขึ้นไปมอบเหรียญรางวัลกับเด็ก ๆ ที่เรียนดีด้วย ซึ่งเด็ก ๆ ก็ฮือฮากันมาก อย่างน้องผู้หญิงซึ่งเป็นที่หนึ่งของชั้นปี พอมอบเหรียญรางวัลเสร็จ เราก็ให้ปากกาน้องเป็นของขวัญด้วย และบอกให้ใช้ปากกานี้ให้เป็นประโยชน์ต่อไปในการเรียนหนังสือ ซึ่งน้องก็ตื้นตันจนทำอะไรไม่ถูกเลย พื้นฐานความรู้เดิมช่วยในการปฏิบัติภารกิจบ้างไหม?เราเป็นวิศวกรโยธา พื้นฐานความรู้เดิมช่วยสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจเหมือนกัน สถานีของเราถูกสร้างมายาวนานกว่า 75 ปีแล้วเพื่อภารกิจนี้ ซึ่งแน่นอนอาคารมันก็ต้องเสื่อมโทรมเป็นธรรมดา เราก็นำประสบการณ์เดิมของเรามาใช้ในการคุยกับช่างและทีมงานในพื้นที่เพื่อปรับปรุงและซ่อมแซมส่วนต่าง ๆ ของอาคาร ล่าสุดเราทำรายงานส่งไปที่สำนักงานใหญ่ อธิบายว่าเรามีความรู้พื้นฐานด้านนี้และขอแนะนำการปรับปรุงสถานีในเชิงโครงสร้างการเป็นวิศวกร ช่วยในเรื่องการทำงานเป็นตรรกะ การประสานงานทำงานกับคนในองค์กร เพราะเราไม่ได้ทำงานคนเดียว มีคนที่อยู่เหนือเรา คนที่ทำงานในระดับเดียวกับเรา และเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อย พื้นฐานด้านตรรกะช่วยแยกแยะหน้าที่ของแต่ละคน รวมถึงประเมินว่าเขามีความสามารถในการทำงานแค่ไหน ไม่ต่างจากการทำงานในโครงการก่อสร้างที่ประกอบไปด้วยเจ้าของ ผู้จัดการ วิศวกร หัวหน้าคนงาน และคนงาน งานจะประสบความสำเร็จได้ต้องขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เอาจริง ๆ ไม่ว่าเราจะเรียนจบสายไหนก็มาปฏิบัติหน้าที่ผู้รักษาสันติภาพได้ ถ้ามีความตั้งใจจะช่วยเหลือผู้อื่น และในมุมเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพอย่างเรา งานด้านนี้เป็นงานที่ยิ่งทำ-ยิ่งรัก เพราะแม้จะตึงเครียดบ้างแต่ก็ได้พบเรื่องราวที่อิ่มเอมใจอยู่เสมอ เจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพหญิงแตกต่างจากเจ้าหน้าที่ชายยังไงบ้าง?เจ้าหน้าที่หญิงและชายมีอำนาจหน้าที่เท่าเทียมและหมุนเวียนตำแหน่งกัน แต่สไตล์การทำงานขึ้นอยู่กับบุคคลเลย เช่น เกิดพายุฝนและโคลนถล่มขึ้น เราจะยังออกไปสังเกตการณ์ไหม สิทธิ์ขาดในการตัดสินใจเป็นของหัวหน้าทีมในวันนั้น แต่สไตล์การทำงานของเราจะเป็นแบบถามลูกทีมก่อนเสมอ ดังนั้นเวลาเราเป็นหัวหน้าชุดลาดตระเวน (Patrol Leader) และเกิดอะไรขึ้น ทุกคนในทีมก็จะมีส่วนร่วมในการตัดสินใจหลายเดือนของการปฏิบัติหน้าที่ เราได้เห็นการทำงานแบบที่เจ้าหน้าที่หญิงและชายมีอำนาจหน้าที่เท่าเทียมกัน และเปิดโอกาสให้ทุกคนได้เป็นหัวหน้าทีม ซึ่งทำให้เราได้เรียนรู้ข้อดีของสไตล์การทำงานที่แตกต่างกัน ทั้งแบบเราที่เน้นการประนีประนอม หรือแบบทางการทหารที่หัวหน้ามีสิทธิ์ขาดในการตัดสินใจไปเลยเรายังได้มีโอกาสทำงานร่วมกับคนหลากหลายเชื้อชาติ ซึ่งแน่นอนว่าแต่ละคนมาจากต่างบริบทกัน ย่อมต้องมีความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันบ้าง แต่เพราะเราทุกคนมาที่นี่ด้วยจุดประสงค์เดียวกันคือเราอยากให้พื้นที่นี้สงบสุข สุดท้ายงานจึงผ่านไปได้ด้วยดีเพราะเรามีจุดมุ่งหมายเดียวกัน บทเรียนล้ำค่าจากประสบการณ์ที่แคชเมียร์อยากจะบอกทุกคนที่กำลังอ่านบทความนี้อยู่ ทุกสถานการณ์ในชีวิตสร้างการเรียนรู้และเติบโต อย่างการมาปฏิบัติภารกิจที่แคชเมียร์ครั้งนี้ หลาย ๆ เหตุการณ์สอนให้เราสู้เพื่อตัวเองและเพื่อคนอื่น รวมถึงสอนให้เราบ่มเพาะคุณค่าในตัวเอง ทุกครั้งที่เราเห็นตัวเองในแววตาของคนที่นี่ ทำให้ตระหนักว่าเขามองเรามีคุณค่าแค่ไหนแม้เราจะเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่งที่เมืองไทยก็ตาม ทุกวันที่ออกลาดตระเวน เราไม่เคยสงสัยเลยว่ามันคุ้มไหมที่เลือกละความสะดวกสะบายที่เมืองไทยมาทำภารกิจที่นี่ เพราะมันคุ้มค่ามากแค่เราใส่หมวกสีฟ้าออกไป ปรากฏตัวให้คนท้องถิ่นเห็น ให้เขารู้ว่าเราอยู่ที่นี่นะ ไม่ต้องกลัวว่าเราจะทิ้งคุณ การที่ชาวบ้านแถวชายแดนเดินมาจับมือแล้วบอกเราว่าขอบคุณที่ยังอยู่ที่นี่ ขอบคุณมาก เขากลัวมาก เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่เหตุการณ์มีความรุนแรงขึ้น ชีวิตของเขาและครอบครัวจนถึงทั้งชุมชนจะยากลำบากมาก ในอีกไม่กี่เดือน การปฏิบัติหน้าที่ของเราจะจบลงแล้ว แต่สิ่งต่าง ๆ จะยังอยู่ในความทรงจำเสมอ ถ้ามีโอกาส อยากให้ลองดู มาเป็นครอบครัว UN Peacekeepers ด้วยกัน ไม่สำคัญว่าคุณจะเป็นใคร เรียนจบด้านไหน มีความสามารถอะไร ทุกคนมีคุณค่าในตัวเองและเป็นที่ต้องการอยู่เสมอ เรื่อง มิ่งขวัญ รัตนคช / เรียบเรียง นฤปนาท เหรัญญะ, รมย์รวินท์ พันธรักษ์, รัชชานนท์ ครื้นจิตต์, ลภิศรา ไกรวีระเดชาชัย / ภาพ ภูเบศ สง่ารักษ์TAG: #UNPeaceKeeper #WomanInPeaceKeeping #PKDay #ServingForPeace #Goal16
1 of 5
![](/sites/default/files/styles/featured_content/public/2024-05/Artboard%201%20copy%202.jpg?itok=OrcZm5m2)
เรื่อง
29 พฤษภาคม 2024
ใบเตย-รัชชุกร ใจกล้า UN Peacekeeper หญิงไทย จากนักเทคนิคการแพทย์ กองทัพเรือ สู่ภารกิจเพื่อสันติภาพในแคชเมียร์
UN Peacekeeper: When She Stands For Peaceอะไรจุดประกายให้อยากเป็นเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพ?หลังเรียนจบสาขาเทคนิคการแพทย์ เราเริ่มทำงานที่โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า กรมแพทย์ทหารเรือ และต่อมาได้เป็นหัวหน้าแผนกที่กองทัพเรือ จนเมื่อเตรียมความพร้อมให้ที่ทำงานเรียบร้อย น้องในทีมสามารถดูแลผู้ป่วยได้อย่างเต็มศักยภาพ และลูกทั้งสองคนก็โตพอจะดูแลตัวเองได้แล้ว เราจึงไปเรียนตามหลักสูตรนายทหารชั้นต้น (ชั้นนายร้อย) ทำให้ได้รู้จักอาชีพเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพ ที่ผ่านมาเรารู้สึกว่าตัวเองได้รับอะไรจากสังคมเยอะ ตั้งแต่เด็ก ๆ เราสมัครสอบชิงทุน ก็ได้รับรางวัลจากโครงการต่าง ๆ เวลาเจ็บป่วยเราได้รับการรักษาพยาบาลฟรีจากโรงพยาบาลของรัฐ เพราะคุณพ่อคุณแม่เป็นข้าราชการ ตอนทำงานก็ได้รับทุนจากยูเอ็นให้เข้ารับการศึกษาอบรมที่ประเทศเนปาล และประเทศมาเลเซีย ได้รู้จักเพื่อนใหม่จากหลายประเทศ ได้เรียนรู้วัฒนธรรมที่แตกต่างจากชาวไทย รวมถึงประสบการณ์ที่ไม่สามารถหาซื้อได้ด้วยเงินทอง จึงอยากส่งมอบบางอย่างคืนสังคมและคนอื่น ๆ ที่ไม่ได้มีโอกาสเท่าเรา ภารกิจในแต่ละวันที่แคชเมียร์เป็นอย่างไร?ภารกิจของเราชื่อ United Nations Military Observer Group in India and Pakistan ในหนึ่งอาทิตย์ต้องปฏิบัติหน้าที่ภาคสนามอย่างน้อย 4 วัน โดยออกไปในหมู่บ้านต่าง ๆ ที่กระจายอยู่ในพื้นที่เส้นแบ่งเขตหยุดยิง (Line of Control) เพื่อสังเกตการณ์ว่ามีความขัดแย้งใหม่ ๆ เกิดขึ้นบ้างไหม กองกำลังฝ่ายตรงข้ามละเมิดข้อตกลงหยุดยิงหรือมีการสะสมกำลังเพิ่มหรือเปล่า และเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลเหล่านี้ เราเลยจำเป็นต้องไปพูดคุยกับคนในพื้นที่ก่อนหน้านี้ ในบริเวณดังกล่าวมีความขัดแย้งและการปะทะกันจริงๆ ไปหมู่บ้านไหนๆ ชาวบ้านต่างมาเปิดแผลให้เราดู ซึ่งส่วนใหญ่เวลาเห็นเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพของยูเอ็นที่ออกไปปฏิบัติงาน พวกเขาจะเข้ามาขอบคุณที่ทำให้เขารู้สึกปลอดภัย คนส่วนใหญ่ที่นี่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมและปศุสัตว์ ถ้าไม่มีสนธิสัญญาหยุดยิง เราไม่เข้าไป ชาวบ้านก็ไม่สามารถใช้ชีวิตและประกอบอาชีพได้อย่างปกติสุขเลย เพราะพวกเขากลัวที่จะออกจากบ้าน เด็ก ๆ ก็ไปโรงเรียนไม่ได้การมีสนธิสัญญาหยุดยิงตามแนวเขตหยุดยิง ภายใต้การสังเกตการณ์ของเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพ หรือ UN Peacekeeper ทำให้คนในพื้นที่ทั้งผู้ใหญ่และเด็กสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติพื้นฐานความรู้เดิมช่วยในการปฏิบัติภารกิจบ้างไหม?อย่างแรกเลยคือความรู้ด้านสุขอนามัยพื้นฐาน ในแถบแคชเมียร์ โรคท้องร่วงท้องเสียเป็นเหมือนโรคประจำถิ่นเพราะชาวบ้านไม่มีความรู้เรื่องการฆ่าเชื้อโรคในน้ำ คนบางหมู่บ้านตักน้ำจากแม่น้ำขึ้นมาก็ใช้ดื่มกินกันเลยไม่มีการต้มก่อน หมู่บ้านเหล่านี้อยู่ตามแนวชายแดน ไม่มีคุณหมอและโรงพยาบาลในหมู่บ้านเลย มีเพียงร้านขายยาเล็ก ๆ โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดต้องใช้เวลาเดินทางหลายชั่วโมง เพราะคนในพื้นที่ขาดความรู้เรื่องสุขอนามัยพื้นฐาน ด้วยความที่เราทำงานในโรงพยาบาลทหาร เราจึงนำความรู้ที่มีไปแบ่งปันกับชาวบ้านในพื้นที่ต่อมาคือพื้นฐานความรู้เรื่องการปฐมพยาบาลและการช่วยชีวิต ในการปฏิบัติภารกิจ บางทีเราต้องเดินข้ามภูเขาเป็นลูก ๆ เดินเป็นชั่วโมงเพื่อไปยังหมู่บ้านที่ห่างไกล เพราะไม่มีถนนที่สามารถนำรถยนต์เข้าไปถึงได้ ต้องใช้การเดินเท้าเข้าพื้นที่ เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่เพื่อนเจ้าหน้าที่ประเทศอื่นในทีมลื่นล้มข้อเท้าแพลง เราก็ไปช่วยดามเบื้องต้นให้ ก่อนจะไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลในค่ายทหาร ณ สถานีที่ประจำการอยู่ หรือบางครั้งเพื่อนเจ้าหน้าที่ในทีมโดนหนามเกี่ยวเลือดออกขณะเดินเท้าเข้าพื้นที่ เราก็ไปช่วยทำแผลให้เราได้เห็นว่าเจ้าหน้าที่แต่ละคนในทีมมีพื้นฐานดั้งเดิมที่แตกต่างกันไป และแต่ละคนก็สามารถนำทักษะหรือความรู้เหล่านั้นมาต่อยอดใช้ได้ในหลายสถานการณ์หน้างาน ดังนั้นไม่ว่าจะเรียนจบด้านไหน สาขาอะไรก็สามารถมาทำงานเป็นเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพได้ ยากไหม? กว่าจะได้มาประจำการอยู่ที่แคชเมียร์ไม่ยากเกินความตั้งใจค่ะถ้าเตรียมตัวมาพร้อม แต่ก็ท้าทายไม่น้อย เพราะศูนย์รักษาสันติภาพ กองบัญชาการกองทัพไทยซึ่งดูแลการคัดเลือกเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพจะจัดการทดสอบขึ้น ซึ่งมีหลายขั้นตอนมาก และจะคัดผู้สมัครออกทีละรอบ ตั้งแต่ทักษะภาษาอังกฤษ สมรรถภาพทางร่างกาย ความรู้เกี่ยวกับการรักษาสันติภาพ จนถึงการสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษ เลือกพื้นที่ไม่ได้ ทางศูนย์สันติภาพไทยจะเลือกให้ ของไทยมี 3 ภารกิจที่ส่งเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพเข้าร่วมในปัจจุบัน ซึ่งจะต้องเป็นทหารชั้นนายร้อยก่อน จึงจะสมัครสอบได้ทักษะภาษาอังกฤษสำคัญมากสำหรับการเป็นเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพ ในการเตรียมตัวสอบคัดเลือก เราไม่ได้ไปลงเรียนหลักสูตรแพงๆ แค่ซื้อหนังสือไวยากรณ์มาศึกษาหนึ่งเล่ม ฝึกฟังภาษาอังกฤษจากการดูภาพยนตร์ โดยเริ่มจากการฟังซาวน์แทร็กและเปิดซับไตเติ้ลภาษาอังกฤษก่อน หลังจากนั้นก็ปิดซับไตเติ้ลและฝึกฟังให้ชินหู ฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ แค่นี้ก็เพียงพอสำหรับการพัฒนาภาษาอังกฤษแล้วนอกจากนี้ยังมีเรื่องสมรรถภาพร่างกายที่สำคัญมากสำหรับการไปปฏิบัติภารกิจ เพราะเราต้องไปใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่ทุรกันดาร ภารกิจ UNMOGIP ภูมิประเทศมีตั้งแต่ความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 300 ถึง 3500 เมตร อุณหภูมิตั้งแต่ติดลบ -50 องศาเซลเซียส ถนนหนทางคดเคี้ยวขรุขระ ถ้าผ่านการทดสอบทุกรอบ จะต้องเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ถึงหนึ่งปีเต็ม ดังนั้นตั้งแต่ก่อนสมัครเข้าทดสอบ เราได้ปรึกษาลูก ๆ ตั้งแต่ต้นว่า ถ้าคุณแม่ขอเวลาหนึ่งปีไปทำงานช่วยเหลือคนทุกข์ยาก ลูกๆ อนุญาตให้คุณแม่ไปไหม ซึ่งลูก ๆ ก็อนุญาต หลังจากนั้นเราจึงไปปรึกษาสามีและครอบครัว และทุกคนก็สนับสนุนให้เราได้ทำตามความฝันและความตั้งใจเต็มที่ตัวเราเองทำงานประจำตั้งแต่หกโมงเช้า ถึงสี่โมงเย็น หลังเลิกงานต้องดูแลลูกๆ และทำงานบ้าน เราก็อาศัยช่วงเวลาหลังจากลูกทำการบ้านเสร็จ ชวนเด็กๆ ไปออกกำลังกายด้วยกันอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมง ได้ทั้งสุขภาพ ได้ทั้งสานสัมพันธ์ในครอบครัว หลังจากลูกหลับก็เป็นเวลาดูหนังฝึกภาษาอังกฤษของคุณแม่ ทุกคนมีเรื่องที่ต้องรับผิดชอบมากมายในชีวิต เราขอเป็นกำลังใจสำหรับการพัฒนาตนเองให้ทุกคนนะคะ เจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพหญิงมีบทบาทสำคัญในภารกิจใด?เพื่อป้องกันการเกิดอคติในการรับข้อมูลจากชาวบ้าน ในการทำงาน แต่ละทีมจึงต้องประกอบไปด้วยเจ้าหน้าที่หลากหลายเชื้อชาติที่เดินทางมาจากทั่วโลก แม้ในทีมจะมีเราเป็นเจ้าหน้าที่หญิงคนเดียว แต่ก็เป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญของการทำภารกิจในพื้นที่อย่างแคชเมียร์ ด้วยข้อปฏิบัติทางศาสนาของคนในพื้นที่ การพูดคุยเพื่อขอข้อมูลจากผู้หญิงหรือเด็ก จะต้องเป็นเจ้าหน้าที่หญิงเท่านั้น เจ้าหน้าที่ชายจะคุยได้แค่กับผู้ชายด้วยกันพื้นที่แถบนี้ผู้ชายออกไปทำงาน บางทีพวกเขาก็ไม่ได้เห็นความผิดปกติอะไร ต่างจากผู้หญิงที่ต้องตักน้ำหาฟืนสำหรับนำมาใช้ในบ้าน ซึ่งพื้นที่เก็บฟืนมักเป็นส่วนใกล้ตะเข็บชายแดน ทำให้ข้อมูลที่ได้จากผู้หญิงเป็นข้อมูลที่สำคัญมากไม่แพ้กัน อีกอย่างคือด้วยความที่เราเป็นคนเอเชียหน้าเด็ก และขยันแจกยิ้มสยามให้ทุกคน ชาวบ้านเลยรู้สึกว่าเราเป็นมิตร เด็กๆ เข้ามาเล่นด้วย ผู้หญิงก็อยากเข้ามาพูดด้วย และกล้าให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับเรามากขึ้น มุมมองคนท้องถิ่นต่อเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพหญิงเป็นยังไง?สำหรับชาวบ้านในพื้นที่ห่างไกล ยิ่งถ้าเป็นหมู่บ้านชายแดน เขาไม่มีอินเทอร์เน็ต ไม่ได้รับรู้เรื่องราวจากภายนอกมากมายนัก การได้เห็นเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพเหมือนเป็นการเปิดโลกทัศน์ให้หลาย ๆ คน ยิ่งเราเป็นผู้หญิงแถมยังเป็นทหารอีก บางทีเขาก็เข้ามาถามว่า ผู้หญิงทำงานนอกบ้านได้ด้วยเหรอ เพราะในมุมมองของเขา ผู้หญิงมีหน้าที่ทำกับข้าวเลี้ยงลูก หรืออย่างเด็ก ๆ หลายครั้งเราได้ยินเขาบอกว่าจะพยายามผลักดันตัวเองไปหาความรู้และโอกาสใหม่ ๆ เพื่ออนาคตที่ดีขึ้น และมองเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพหญิงเป็นต้นแบบแรงบันดาลใจ ซึ่งฟังแล้วอิ่มใจมาก บทเรียนล้ำค่าจากประสบการณ์ที่แคชเมียร์ทุกวันของการทำงาน เราได้ประสบการณ์ใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น บางวันเหนื่อยมาก ออกภาคสนามตั้งแต่ตีห้า กลับมาก็ค่ำมืดแล้ว บางครั้งต้องตั้งจุดสังเกตการณ์ตลอดทั้งคืน เรียกว่านอนกลางดินกินกลางทรายได้เลย เคยมีครั้งหนึ่งเราพบเหตุการณ์หินถล่ม มีหินก้อนใหญ่เท่ารถกระบะตกเฉียดรถที่เราและเจ้าหน้าที่คนอื่นนั่งอยู่ไปแค่เสี้ยววินาที แม้จะเหนื่อยและอันตราย แต่ยิ่งได้เห็นว่าการเข้าร่วมภารกิจของเราในฐานะเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพช่วยเหลือผู้คนในพื้นที่นี้ให้มีความสงบสุขได้ยังไง การลาดตระเวน สังเกตการณ์ต่างๆ ของพวกเราช่วยควบคุมความขัดแย้งและการปะทะ ทำให้ชาวบ้านรู้สึกปลอดภัย มันก็จะย้อนกลับไปย้ำความรู้สึกว่านี่แหละ คือจุดประสงค์ที่เราอยากมาที่นี่ ประสบการณ์ต่าง ๆ ที่พบเจอที่นี่ นับว่าเหนือความคาดหมายทั้งหมด เราไม่คิดว่าจะมีพื้นที่ที่ทุรกันดารได้ถึงขนาดนี้ มีครั้งหนึ่งที่เราถามชาวบ้านว่าทำไมหมู่บ้านนี้ผู้หญิงน้อยจัง คำตอบที่ได้ทำให้จุกในอก เพราะเขาบอกว่าถ้าเกิดผู้หญิงตั้งท้อง แล้วถึงกำหนดคลอดในช่วงที่หิมะตกขึ้นมา อาจจะต้องปล่อยให้เด็กเสียชีวิต เพราะนอกจากหมู่บ้านละแวกนี้ไม่มีหมอและโรงพยาบาลแล้ว เส้นทางคมนาคมยังถูกตัดขาดด้วยหิมะ ทำให้ชาวบ้านไม่สามารถเดินทางไปโรงพยาบาลในเมืองได้แต่ก็มีเหตุการณ์ที่ประทับใจไม่ลืม วันนั้นเราได้ไปปฏิบัติหน้าที่ที่หมู่บ้านหนึ่ง มีเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ มาขอถ่ายรูป มองเราด้วยแววตาชื่นชม หลังจากนั้นอีกประมาณ 4 เดือน เราได้กลับไปที่หมู่บ้านนี้อีกครั้ง คุณพ่อของน้องผู้หญิงคนเดิมเชิญเราไปเยี่ยมที่บ้าน และบอกกับเราว่าเขาเดินทางไป-กลับเกือบ 100 กิโลเมตรเพื่อไปอัดรูปที่ถ่ายกับเราในวันนั้นใส่กรอบ โดยน้องผู้หญิงได้เขียนข้อความไว้บนรูปว่า “โตขึ้นหนูจะทำงานกับยูเอ็นเหมือนพี่”เรายิ้มได้ทุกวัน อิ่มใจทุกวันที่ผู้หญิงธรรมดาอย่างเรา สามารถเป็นผู้ให้และมาทำงานที่ยิ่งใหญ่เพื่อสังคมได้เรื่อง มิ่งขวัญ รัตนคช / เรียบเรียง นฤปนาท เหรัญญะ, รมย์รวินท์ พันธรักษ์, รัชชานนท์ ครื้นจิตต์, ลภิศรา ไกรวีระเดชาชัย / ภาพ ภูเบศ สง่ารักษ์TAG: #UNPeaceKeeper #WomanInPeaceKeeping #PKDay #ServingForPeace #Goal16
1 of 5
เรื่อง
26 มีนาคม 2024
'PROTECT' โครงการความร่วมมือของสหภาพยุโรปและองค์การสหประชาชาติโครงการใหม่ส่งเสริมการคุ้มครองแรงงานข้ามชาติหญิงและเด็กในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
กรุงเทพ, วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2567 – สหภาพยุโรป (EU) ประกาศให้ทุนสนับสนุน กว่า 500 ล้านบาท (13ล้านยูโร) แก่องค์การสหประชาชาติสำหรับโครงการความร่วมมือใหม่ที่มีชื่อว่า ‘PROTECT’ ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างสิทธิแรงงานข้ามชาติหญิง เด็กและกลุ่มที่มีความเสี่ยงในประเทศกัมพูชา อินโดนีเซีย มาเลเซียและไทย
โครงการ PROTECT ที่มีระยะการดำเนินงาน 3 ปี จะมุ่งส่งเสริมงานที่มีคุณค่าและลดความเปราะบางของกลุ่มที่มีความเสี่ยงด้วยการส่งเสริมสิทธิแรงงาน การป้องกันและการรับมือกับความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็ก การค้ามนุษย์ และการลักลอบนำแรงงานข้ามชาติเข้าประเทศ
ฯพณฯ เอกอัครราชทูต นายเดวิด ดาลี คณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทยกล่าวว่า “ผู้คนทั่วโลกถูกบีบบังคับให้ต้องทิ้งบ้านเพื่อเสาะหาโอกาสและชีวิตที่ดีกว่าเดิม ในการเดินทางข้ามพรมแดนและที่จุดหมายปลายทาง แรงงานข้ามชาติหญิงและเด็กมีความเสี่ยงที่สูงกว่ากลุ่มอื่นๆ สหภาพยุโรปมีความภาคภูมิใจที่จะสนับสนุนภาคีสหประชาชาติในโครงการใหม่ที่มุ่งแก้ปัญหาซึ่งเป็นปรากฎการณ์ระดับโลกนี้ในระดับภูมิภาค เราจะทำงานร่วมกับประเทศไทยและประเทศภาคีอื่นๆ ในภูมิภาค ในการให้ความคุ้มครองแก่ผู้หญิงและเด็ก เสริมสร้างการบริหารจัดการเกี่ยวกับการย้ายถิ่นแรงงาน แก้ปัญหาการค้ามนุษย์และการลักลอบนำแรงงานข้ามชาติเข้าประเทศ รวมถึงพัฒนาช่องทางทางกฎหมายสำหรับนโยบายการย้ายถิ่นของแรงงานที่ยั่งยืน”
ในกลุ่มประเทศสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) มีผู้ย้ายถิ่นประมาณ 10.6 ล้านคน โดยเกือบครึ่งหนึ่งเป็นผู้หญิง และอีก 1.3 ล้านคนเป็นเด็ก แรงงานข้ามชาติโดยเฉพาะกลุ่มอาชีพที่ได้รับค่าจ้างต่ำ เผชิญกับปัญหาต่างๆ มากมาย ที่รวมถึงการแสวงหาประโยชน์ด้านแรงงาน การค้ามนุษย์ และความรุนแรงและการคุกคาม แรงงานหญิงข้ามชาติส่วนใหญ่ทำงานในภาคเศรษฐกิจนอกระบบซึ่งมักเป็นงานชั่วคราวและได้รับการคุ้มครองทางสังคมเพียงเล็กน้อยหรือแทบไม่ได้รับการคุ้มครองทางสังคมเลย เด็กๆ ที่ติดตามแรงงานข้ามชาติมีความเสี่ยงสูงที่จะเผชิญกับการละเมิด การแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบและการค้ามนุษย์ รวมถึงการเข้าถึงการบริการเพื่อการคุ้มครองเด็กที่ไม่เพียงพอ
โครงการ ‘PROTECT’ ดำเนินการโดย 4 หน่วยงานภายใต้องค์การสหประชาชาติ ดังต่อไปนี้ องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ไอแอลโอ) องค์การเพื่อการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศและเพิ่มพลังของผู้หญิงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นวีแมน) สำนักงานยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นโอดีซี) และกองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (ยูนิเซฟ)
หน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการจะทำงานร่วมกับผู้เกี่ยวข้องใน 4 ประเทศ เพื่อเสริมสร้างกฎหมายและนโยบายให้ประสิทธิภาพ ยกระดับขีดความสามารถและกลไกเพื่อคุ้มครองสิทธิต่างๆ ของกลุ่มเป้าหมายให้ดีขึ้น และเพิ่มการเข้าถึงข้อมูลและบริการต่างๆ
กีต้า ซับบระวาล ผู้ประสานงานประจำสหประชาชาติ กล่าวถึงความร่วมมือที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นระหว่างรัฐบาลไทย สหภาพยุโรป และสหประชาชาติ ว่าเป็น “หลักสำคัญ” ด้านสิทธิของผู้ย้ายถิ่น “โครงการความมือระหว่างสหภาพยุโรปและสหประชาชาติโครงการนี้จะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาเป้าหมายที่มีร่วมกันในการปกป้องผู้ย้ายถิ่นผู้หญิงและเด็กที่เปราะบาง ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากเกือบครึ่งหนึ่งของแรงงานข้ามชาติในภูมิภาคนี้เป็นผู้หญิง และอีก 1.3 ล้านคนเป็นเด็ก การย้ายถิ่นอย่างปลอดภัยและการทำงานที่มีคุณค่าจะช่วยเพิ่มการเติบโตที่ยั่งยืนให้กับอาเซียนและยกระดับคุณภาพชีวิตของหลายล้านครัวเรือน โดยเฉพาะผู้ที่ด้อยโอกาสที่สุด และสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือการนำภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบสถานะด้านสิทธิมนุษยชน สิ่งนี้จะทำให้เกิดการสร้างพื้นที่ทำงานที่ปลอดภัยและเหมาะสมที่ให้ความสำคัญกับผู้หญิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมที่ผู้หญิงเสี่ยงต่อการถูกแสวงหาผลประโยชน์”
ชิโฮโกะ อาซาดะ มิยากาวะ ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่และผู้อำนวยการองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก กล่าวถึงความสำคัญของโครงการใหม่นี้ในภูมิภาคนี้ว่า “การย้ายถิ่นของแรงงานถือเป็นตัวขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในประเทศต้นทางและประเทศปลายทาง สร้างประโยชน์ให้กับแรงงานข้ามชาติ ชุมชน และนายจ้าง ทุกฝ่ายร่วมกัน หากเราต้องการให้การคุ้มครองและการเข้าถึงงานที่มีคุณค่าดังที่แรงงานข้ามชาติสมควรได้รับ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความยุติธรรมทางสังคม นโยบายและแนวทางการกำกับดูแลการย้ายถิ่นจำเป็นต้องตอบสนองความต้องการที่แตกต่างระหว่างหญิงและชาย มีความครอบคลุมและสอดคล้องกับมาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศ”
“การจัดการกับปัญหาที่ความรุนแรงและการคุกคามต่อแรงงานข้ามชาติหญิงที่พบได้โดยทั่วไปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นเรื่องที่จำเป็น เราจะดำเนินการส่งเสริมสิทธิต่างๆ ความปลอดภัย และศักดิ์ศรีของแรงงานข้ามชาติหญิงผ่านโครงการความร่วมมือนี้ เพื่ออนาคตที่แรงงานข้ามชาติหญิงทุกคนสามารถใช้ชีวิตและทำงานโดยปราศจากความหวาดกลัวและการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ” อาเลีย เอล – ยาสซีร์ ผู้อำนวยการสำนักงานภาคพื้นเอเชียและแปซิฟิค องค์การเพื่อการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศและเพิ่มพลังของผู้หญิงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นวีแมน) กล่าว
“เด็กข้ามชาติมีความเปราะบางอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของการย้ายถิ่นของแรงงาน” เดโบรา โคมินี ผู้อำนวยการสำนักงานภาคพื้นภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก กองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (ยูนิเซฟ) กล่าว “เด็กๆ เสี่ยงต่อการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ การละเมิด และความรุนแรง เด็กเหล่านี้ไม่สามารถเข้าถึงการศึกษา บริการสาธารณสุข และการคุ้มครองทางสังคม นโยบายและแนวปฏิบัติด้านการย้ายถิ่นจะต้องให้ความสำคัญกับมิติเด็กที่มีความละเอียดอ่อน และคุ้มครองสิทธิและประโยชน์สูงสุดของเด็กทุกคน ไม่ว่าสถานภาพด้านการย้ายถิ่นของเด็กเหล่านั้นจะเป็นอย่างไร”
“เพื่อทำลายวงจรการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบและการละเมิด การคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ และแรงงานข้ามชาติที่ถูกลักลอบพาเข้าเมืองก่อนและระหว่างกระบวนการยุติธรรมทางอาญาถือเป็นสิ่งสำคัญ” มาซุด คาริมิพัวร์ ผู้แทนสำนักงานอาชญากรรมและยาเสพติดแห่งสหประชาชาติ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิค กล่าว “ภายใต้โครงการใหม่นี้ ยูเอ็นโอดีซีจะดำเนินการต่อยอดจากงานที่เคยทำร่วมกับหน่วยงานด้านการบังคับใช้กฎหมายและหน่วยงานด้านการยุติธรรมในภูมิภาค เพื่อตรวจสอบให้สิทธิของผู้เสียหายได้รับการคุ้มครอง และผู้กระทำความผิดได้รับโทษ”
โครงการ PROTECT จะดำเนินการจนถึงเดือนธันวาคม 2569 โดยดำเนินงานต่อยอดจากผลการดำเนินโครงการและบทเรียนต่างๆ จากโครงการที่ได้รับทุนสนับสนุนจากสหภาพยุโรปในปีที่ผ่านมาสองโครงการ ได้แก่ โครงการ ‘ปลอดภัยและยุติธรรม: การทำให้สิทธิและโอกาสของแรงงานข้ามชาติหญิงเป็นจริงในภูมิภาคอาเซียน’ ที่ดำเนินโครงการโดยไอแอลโอ ยูเอ็นวีแมนและยูเอ็นโอดีซี ระหว่างปี 2561 ถึง 2566 และ ‘การคุ้มครองเด็กที่ได้รับผลกระทบจากการย้ายถิ่นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียกลาง’ ที่ดำเนินโครงการโดยยูนิเซฟ ระหว่างปี 2561 ถึง 2565
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อธนภรณ์ สาลีผล
เจ้าหน้าที่ฝ่ายการเมืองและข้อมูลข่าวสาร คณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย
อีเมล: delegation-thailand-pi[@]eeas.europa.eu
โทร: +66 2 305 2662
สตีฟ นีแดม
เจ้าหน้าที่อาวุโสด้านการสื่อสาร องค์การแรงงานระหว่างประเทศ ประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก
อีเมล์: needham[@]ilo.org
โทร: +66 836066628
ลอร่า กิล
เจ้าหน้าที่ด้านการสื่อสารยูเอ็นโอดีซี
อีเมล์: laura.gil[@]un.org
โทร: +66 61 173 0864
ดิเอโก เดอ ลา โรซา
เจ้าหน้าที่ผู้ชำนาญการงานสื่อสารระดับภูมิภาค ยูเอ็นวีแมน
อีเมล์: diego.delarosa[@]unwomen.org
โทร: +66995037177
โครงการ PROTECT ที่มีระยะการดำเนินงาน 3 ปี จะมุ่งส่งเสริมงานที่มีคุณค่าและลดความเปราะบางของกลุ่มที่มีความเสี่ยงด้วยการส่งเสริมสิทธิแรงงาน การป้องกันและการรับมือกับความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็ก การค้ามนุษย์ และการลักลอบนำแรงงานข้ามชาติเข้าประเทศ
ฯพณฯ เอกอัครราชทูต นายเดวิด ดาลี คณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทยกล่าวว่า “ผู้คนทั่วโลกถูกบีบบังคับให้ต้องทิ้งบ้านเพื่อเสาะหาโอกาสและชีวิตที่ดีกว่าเดิม ในการเดินทางข้ามพรมแดนและที่จุดหมายปลายทาง แรงงานข้ามชาติหญิงและเด็กมีความเสี่ยงที่สูงกว่ากลุ่มอื่นๆ สหภาพยุโรปมีความภาคภูมิใจที่จะสนับสนุนภาคีสหประชาชาติในโครงการใหม่ที่มุ่งแก้ปัญหาซึ่งเป็นปรากฎการณ์ระดับโลกนี้ในระดับภูมิภาค เราจะทำงานร่วมกับประเทศไทยและประเทศภาคีอื่นๆ ในภูมิภาค ในการให้ความคุ้มครองแก่ผู้หญิงและเด็ก เสริมสร้างการบริหารจัดการเกี่ยวกับการย้ายถิ่นแรงงาน แก้ปัญหาการค้ามนุษย์และการลักลอบนำแรงงานข้ามชาติเข้าประเทศ รวมถึงพัฒนาช่องทางทางกฎหมายสำหรับนโยบายการย้ายถิ่นของแรงงานที่ยั่งยืน”
ในกลุ่มประเทศสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) มีผู้ย้ายถิ่นประมาณ 10.6 ล้านคน โดยเกือบครึ่งหนึ่งเป็นผู้หญิง และอีก 1.3 ล้านคนเป็นเด็ก แรงงานข้ามชาติโดยเฉพาะกลุ่มอาชีพที่ได้รับค่าจ้างต่ำ เผชิญกับปัญหาต่างๆ มากมาย ที่รวมถึงการแสวงหาประโยชน์ด้านแรงงาน การค้ามนุษย์ และความรุนแรงและการคุกคาม แรงงานหญิงข้ามชาติส่วนใหญ่ทำงานในภาคเศรษฐกิจนอกระบบซึ่งมักเป็นงานชั่วคราวและได้รับการคุ้มครองทางสังคมเพียงเล็กน้อยหรือแทบไม่ได้รับการคุ้มครองทางสังคมเลย เด็กๆ ที่ติดตามแรงงานข้ามชาติมีความเสี่ยงสูงที่จะเผชิญกับการละเมิด การแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบและการค้ามนุษย์ รวมถึงการเข้าถึงการบริการเพื่อการคุ้มครองเด็กที่ไม่เพียงพอ
โครงการ ‘PROTECT’ ดำเนินการโดย 4 หน่วยงานภายใต้องค์การสหประชาชาติ ดังต่อไปนี้ องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ไอแอลโอ) องค์การเพื่อการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศและเพิ่มพลังของผู้หญิงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นวีแมน) สำนักงานยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นโอดีซี) และกองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (ยูนิเซฟ)
หน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการจะทำงานร่วมกับผู้เกี่ยวข้องใน 4 ประเทศ เพื่อเสริมสร้างกฎหมายและนโยบายให้ประสิทธิภาพ ยกระดับขีดความสามารถและกลไกเพื่อคุ้มครองสิทธิต่างๆ ของกลุ่มเป้าหมายให้ดีขึ้น และเพิ่มการเข้าถึงข้อมูลและบริการต่างๆ
กีต้า ซับบระวาล ผู้ประสานงานประจำสหประชาชาติ กล่าวถึงความร่วมมือที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นระหว่างรัฐบาลไทย สหภาพยุโรป และสหประชาชาติ ว่าเป็น “หลักสำคัญ” ด้านสิทธิของผู้ย้ายถิ่น “โครงการความมือระหว่างสหภาพยุโรปและสหประชาชาติโครงการนี้จะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาเป้าหมายที่มีร่วมกันในการปกป้องผู้ย้ายถิ่นผู้หญิงและเด็กที่เปราะบาง ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากเกือบครึ่งหนึ่งของแรงงานข้ามชาติในภูมิภาคนี้เป็นผู้หญิง และอีก 1.3 ล้านคนเป็นเด็ก การย้ายถิ่นอย่างปลอดภัยและการทำงานที่มีคุณค่าจะช่วยเพิ่มการเติบโตที่ยั่งยืนให้กับอาเซียนและยกระดับคุณภาพชีวิตของหลายล้านครัวเรือน โดยเฉพาะผู้ที่ด้อยโอกาสที่สุด และสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือการนำภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบสถานะด้านสิทธิมนุษยชน สิ่งนี้จะทำให้เกิดการสร้างพื้นที่ทำงานที่ปลอดภัยและเหมาะสมที่ให้ความสำคัญกับผู้หญิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมที่ผู้หญิงเสี่ยงต่อการถูกแสวงหาผลประโยชน์”
ชิโฮโกะ อาซาดะ มิยากาวะ ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่และผู้อำนวยการองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก กล่าวถึงความสำคัญของโครงการใหม่นี้ในภูมิภาคนี้ว่า “การย้ายถิ่นของแรงงานถือเป็นตัวขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในประเทศต้นทางและประเทศปลายทาง สร้างประโยชน์ให้กับแรงงานข้ามชาติ ชุมชน และนายจ้าง ทุกฝ่ายร่วมกัน หากเราต้องการให้การคุ้มครองและการเข้าถึงงานที่มีคุณค่าดังที่แรงงานข้ามชาติสมควรได้รับ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความยุติธรรมทางสังคม นโยบายและแนวทางการกำกับดูแลการย้ายถิ่นจำเป็นต้องตอบสนองความต้องการที่แตกต่างระหว่างหญิงและชาย มีความครอบคลุมและสอดคล้องกับมาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศ”
“การจัดการกับปัญหาที่ความรุนแรงและการคุกคามต่อแรงงานข้ามชาติหญิงที่พบได้โดยทั่วไปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นเรื่องที่จำเป็น เราจะดำเนินการส่งเสริมสิทธิต่างๆ ความปลอดภัย และศักดิ์ศรีของแรงงานข้ามชาติหญิงผ่านโครงการความร่วมมือนี้ เพื่ออนาคตที่แรงงานข้ามชาติหญิงทุกคนสามารถใช้ชีวิตและทำงานโดยปราศจากความหวาดกลัวและการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ” อาเลีย เอล – ยาสซีร์ ผู้อำนวยการสำนักงานภาคพื้นเอเชียและแปซิฟิค องค์การเพื่อการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศและเพิ่มพลังของผู้หญิงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นวีแมน) กล่าว
“เด็กข้ามชาติมีความเปราะบางอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของการย้ายถิ่นของแรงงาน” เดโบรา โคมินี ผู้อำนวยการสำนักงานภาคพื้นภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก กองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (ยูนิเซฟ) กล่าว “เด็กๆ เสี่ยงต่อการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ การละเมิด และความรุนแรง เด็กเหล่านี้ไม่สามารถเข้าถึงการศึกษา บริการสาธารณสุข และการคุ้มครองทางสังคม นโยบายและแนวปฏิบัติด้านการย้ายถิ่นจะต้องให้ความสำคัญกับมิติเด็กที่มีความละเอียดอ่อน และคุ้มครองสิทธิและประโยชน์สูงสุดของเด็กทุกคน ไม่ว่าสถานภาพด้านการย้ายถิ่นของเด็กเหล่านั้นจะเป็นอย่างไร”
“เพื่อทำลายวงจรการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบและการละเมิด การคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ และแรงงานข้ามชาติที่ถูกลักลอบพาเข้าเมืองก่อนและระหว่างกระบวนการยุติธรรมทางอาญาถือเป็นสิ่งสำคัญ” มาซุด คาริมิพัวร์ ผู้แทนสำนักงานอาชญากรรมและยาเสพติดแห่งสหประชาชาติ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิค กล่าว “ภายใต้โครงการใหม่นี้ ยูเอ็นโอดีซีจะดำเนินการต่อยอดจากงานที่เคยทำร่วมกับหน่วยงานด้านการบังคับใช้กฎหมายและหน่วยงานด้านการยุติธรรมในภูมิภาค เพื่อตรวจสอบให้สิทธิของผู้เสียหายได้รับการคุ้มครอง และผู้กระทำความผิดได้รับโทษ”
โครงการ PROTECT จะดำเนินการจนถึงเดือนธันวาคม 2569 โดยดำเนินงานต่อยอดจากผลการดำเนินโครงการและบทเรียนต่างๆ จากโครงการที่ได้รับทุนสนับสนุนจากสหภาพยุโรปในปีที่ผ่านมาสองโครงการ ได้แก่ โครงการ ‘ปลอดภัยและยุติธรรม: การทำให้สิทธิและโอกาสของแรงงานข้ามชาติหญิงเป็นจริงในภูมิภาคอาเซียน’ ที่ดำเนินโครงการโดยไอแอลโอ ยูเอ็นวีแมนและยูเอ็นโอดีซี ระหว่างปี 2561 ถึง 2566 และ ‘การคุ้มครองเด็กที่ได้รับผลกระทบจากการย้ายถิ่นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียกลาง’ ที่ดำเนินโครงการโดยยูนิเซฟ ระหว่างปี 2561 ถึง 2565
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อธนภรณ์ สาลีผล
เจ้าหน้าที่ฝ่ายการเมืองและข้อมูลข่าวสาร คณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย
อีเมล: delegation-thailand-pi[@]eeas.europa.eu
โทร: +66 2 305 2662
สตีฟ นีแดม
เจ้าหน้าที่อาวุโสด้านการสื่อสาร องค์การแรงงานระหว่างประเทศ ประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก
อีเมล์: needham[@]ilo.org
โทร: +66 836066628
ลอร่า กิล
เจ้าหน้าที่ด้านการสื่อสารยูเอ็นโอดีซี
อีเมล์: laura.gil[@]un.org
โทร: +66 61 173 0864
ดิเอโก เดอ ลา โรซา
เจ้าหน้าที่ผู้ชำนาญการงานสื่อสารระดับภูมิภาค ยูเอ็นวีแมน
อีเมล์: diego.delarosa[@]unwomen.org
โทร: +66995037177
1 of 5
เรื่อง
08 เมษายน 2024
ปัจจุบันประชากร 1 ใน 8 คนเป็นโรคอ้วน
เจนีวา (1 มีนาคม 2567) – การศึกษาใหม่ที่เผยแพร่ในวารสาร Lancet แสดงให้เห็นว่าในปี 2565 ผู้คนมากกว่า 1 พันล้านคนทั่วโลกต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคอ้วน สถิติจากทั่วโลกพบว่าโรคอ้วนในผู้ใหญ่เพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าตั้งแต่ปี 2533 และเพิ่มขึ้นสี่เท่าในเด็กและวัยรุ่น (อายุ 5 ถึง 19 ปี) ข้อมูลยังแสดงให้เห็นว่า ร้อยละ 43 ของประชากรวัยผู้ใหญ่นั้นมีภาวะน้ำหนักเกินในปี 2565การศึกษายังแสดงให้เห็นว่าแม้ว่าอัตราการขาดสารอาหารจะลดลง แต่ประเด็นนี้ก็ยังเป็นปัญหาด้านสาธารณสุขในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในแถบเอเชียใต้และตะวันออก และแอฟริกาทางตอนใต้ของทะเลทรายซาฮาราประเทศที่มีอัตราการมีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์และโรคอ้วนรวมกันสูงสุดในปี 2565 ได้แก่ ประเทศหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกและแคริบเบียน รวมถึงประเทศในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือภาวะทุพโภชนาการในทุกรูปแบบ รวมถึงภาวะโภชนาการไม่เพียงพอ (ผอม แคระแกร็น น้ำหนักน้อยเกินไป) วิตามินหรือแร่ธาตุไม่เพียงพอ ภาวะน้ำหนักเกิน และโรคอ้วน การศึกษาพบว่าภาวะโภชนาการไม่เพียงพอเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตกว่าครึ่งของเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และโรคอ้วนก่อให้เกิดโรคไม่ติดต่อต่างๆ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ เบาหวาน และมะเร็งบางชนิดองค์การอนามัยโลกมีส่วนร่วมในการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลของการศึกษาครั้งนี้ ขณะนี้ชุดข้อมูลทั้งหมดได้รับการเผยแพร่ผ่าน Global Health Observatory แล้ว“การศึกษาครั้งใหม่นี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการป้องกันและการจัดการโรคอ้วนตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยผู้ใหญ่ ผ่านการรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย และการดูแลอย่างเหมาะสมตามความจำเป็น” ดร. เทดรอส อัดฮานอม เกเบรเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่ขององค์การอนามัยโลกกล่าว “การกลับมาสู่เส้นทางเพื่อบรรลุเป้าหมายระดับโลกในการควบคุมโรคอ้วนนั้นเป็นหน้าที่ของรัฐบาลและชุมชน โดยการสนับสนุนจากนโยบายที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์จากองค์การอนามัยโลก และหน่วยงานด้านสาธารณสุขระดับประเทศ และที่สำคัญไม่แพ้กันคือความร่วมมือจากภาคเอกชนซึ่งต้องร่วมรับผิดชอบต่อผลกระทบต่อสุขภาพจากของผลิตภัณฑ์ของตน”โรคอ้วนเป็นโรคเรื้อรังที่ซับซ้อน สาเหตุของโรค และมาตรการต่างๆ ที่จำเป็นที่จะต้องดำเนินการเพื่อควบคุมภาวะวิกฤตนั้นเป็นที่ทราบกันดี แต่การดำเนินการเหล่านั้นยังมีอยู่อย่างจำกัด ในการประชุมสมัชชาอนามัยโลกในปี 2565 ประเทศสมาชิกได้ลงมติยอมรับแผนเร่งรัดขององค์การอนามัยโลกเพื่อหยุดโรคอ้วน (WHO Acceleration Plan to stop obesity) ซึ่งสนับสนุนการดำเนินการระดับประเทศจนถึงปี 2573 ในปัจจุบันรัฐบาลของ 31 ประเทศกำลังเป็นผู้นำในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคอ้วนด้วยการดำเนินการตามแผนดังกล่าวโดยมีมาตรการหลักคือ:
• การดำเนินการเพื่อสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพตั้งแต่วันแรกของชีวิต รวมถึงการส่งเสริม การคุ้มครอง และการสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
• การควบคุมการทำการตลาดของอาหารและเครื่องดื่มที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพเด็ก
• นโยบายด้านอาหารและโภชนาการในโรงเรียน รวมถึงมาตรการในการควบคุมการขายผลิตภัณฑ์ที่มีไขมัน น้ำตาล และโซเดียมสูงในบริเวณใกล้เคียงโรงเรียน
• นโยบายการเงินการคลังและการสนับสนุนทางราคาเพื่อส่งเสริมอาหารเพื่อสุขภาพ
• นโยบายการติดฉลากโภชนาการ
• การให้ความรู้สาธารณะและการรณรงค์สร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพและการมีกิจกรรมทางกำลังกายที่เพียงพ
• มาตรฐานการมีกิจกรรมทางกายในโรงเรียน และ
• บูรณาการบริการป้องกันและจัดการโรคอ้วนเข้ากับการดูแลสุขภาพระดับปฐมภูมิ“การดำเนินนโยบายที่สนับสนุนให้ทุกคนเข้าถึงอาหารที่ดีต่อสุขภาพในราคาที่จับต้องได้ และการสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมกิจกรรมกำลังกายและวิถีชีวิตที่มีสุขภาพดีสำหรับทุกคนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย” ดร. ฟรานเชสโก บรังกา ผู้อำนวยการแผนกโภชนาการและความปลอดภัยด้านอาหารขององค์การอนามัยโลก และหนึ่งในผู้ร่วมเขียนการศึกษาฉบับนี้กล่าว “ประเทศต่างๆ ควรบูรณาการการป้องกันและการจัดการโรคอ้วนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของระบบบริการสุขภาพขั้นพื้นฐาน”การจัดการกับภาวะโภชนาการไม่เพียงพอจำเป็นต้องอาศัยการดำเนินการจากหลายภาคส่วนทั้งในด้านการเกษตร การคุ้มครองทางสังคม และสุขภาพ เพื่อเพิ่มความมั่นคงทางอาหาร พัฒนาการเข้าถึงน้ำสะอาดและสุขอนามัย เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงโภชนาการที่จำเป็นอย่างทั่วถึงอ่านต้นฉบับ
• การดำเนินการเพื่อสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพตั้งแต่วันแรกของชีวิต รวมถึงการส่งเสริม การคุ้มครอง และการสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
• การควบคุมการทำการตลาดของอาหารและเครื่องดื่มที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพเด็ก
• นโยบายด้านอาหารและโภชนาการในโรงเรียน รวมถึงมาตรการในการควบคุมการขายผลิตภัณฑ์ที่มีไขมัน น้ำตาล และโซเดียมสูงในบริเวณใกล้เคียงโรงเรียน
• นโยบายการเงินการคลังและการสนับสนุนทางราคาเพื่อส่งเสริมอาหารเพื่อสุขภาพ
• นโยบายการติดฉลากโภชนาการ
• การให้ความรู้สาธารณะและการรณรงค์สร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพและการมีกิจกรรมทางกำลังกายที่เพียงพ
• มาตรฐานการมีกิจกรรมทางกายในโรงเรียน และ
• บูรณาการบริการป้องกันและจัดการโรคอ้วนเข้ากับการดูแลสุขภาพระดับปฐมภูมิ“การดำเนินนโยบายที่สนับสนุนให้ทุกคนเข้าถึงอาหารที่ดีต่อสุขภาพในราคาที่จับต้องได้ และการสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมกิจกรรมกำลังกายและวิถีชีวิตที่มีสุขภาพดีสำหรับทุกคนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย” ดร. ฟรานเชสโก บรังกา ผู้อำนวยการแผนกโภชนาการและความปลอดภัยด้านอาหารขององค์การอนามัยโลก และหนึ่งในผู้ร่วมเขียนการศึกษาฉบับนี้กล่าว “ประเทศต่างๆ ควรบูรณาการการป้องกันและการจัดการโรคอ้วนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของระบบบริการสุขภาพขั้นพื้นฐาน”การจัดการกับภาวะโภชนาการไม่เพียงพอจำเป็นต้องอาศัยการดำเนินการจากหลายภาคส่วนทั้งในด้านการเกษตร การคุ้มครองทางสังคม และสุขภาพ เพื่อเพิ่มความมั่นคงทางอาหาร พัฒนาการเข้าถึงน้ำสะอาดและสุขอนามัย เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงโภชนาการที่จำเป็นอย่างทั่วถึงอ่านต้นฉบับ
1 of 5
![](/sites/default/files/styles/featured_content/public/2024-04/obesity1fbf2a62-6f1f-4e4c-93af-55ff6fd34c82.tmb-1200v.jpg?itok=XKIKeY1a)
ข่าวประชาสัมพันธ์
14 มิถุนายน 2024
สำนักงานเพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติยินดีที่ประเทศไทยให้สัตยาบันอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ
ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันอนุสัญญาฉบับนี้หนึ่งปีหลังจากที่บังคับใช้พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ซึ่งเป็นหมุดหมายสำคัญที่ประเทศไทยมีกฎหมายภายในประเทศที่ทำให้การทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายเป็นความผิดทางอาญา“การที่ให้สัตยาบันอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับนี้ นับเป็นการเน้นย้ำถึงการปฏิบัติตามคำมั่นที่ประเทศไทยให้ไว้ในกระบวนการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนตามวงรอบครั้งล่าสุด (Universal Periodic Review) และในโอกาสครบรอบ 75 ปีปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Human Rights 75) เพื่อปกป้องคนทุกคนจากการกระทำให้สูญหายและขจัดอาชญากรรมอันเลวร้ายนี้ ซึ่งละเมิดสิทธิมนุษชนหลายประการ และสร้างบาดแผลและความบอบช้ำที่ยาวนานให้กับครอบครัวและชุมชน”ซินเธีย เวลิโก้ ผู้แทนประจำภูมิภาค สำนักงานเพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติกล่าวทั้งนี้ ณ เดือนสิงหาคม 2567 ประเทศไทยมีกรณีการกระทำให้สูญหายที่คณะทำงานแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการกระทำให้บุคคลสูญหายโดยถูกบังคับหรือไม่สมัครใจบันทึกไว้ทั้งสิ้น 77 กรณี โดยล้วนยังไม่ได้รับความกระจ่าง“ครอบครัวและชุมชนของผู้สูญหายถูกปล่อยไว้ให้อยู่กับความคลุมเครืออันเจ็บปวดรวดร้าว และบางครอบครัวต้องอยู่กับความรู้สึกดังกล่าวเป็นเวลาหลายสิบปี พวกเขาพึงได้รับรู้ความจริงและต้องได้รับการเยียวยา” เวลิโก้ กล่าวทั้งนี้ บทบัญญัติข้อที่ 24 ของอนุสัญญาฯ กล่าวว่า ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำให้สูญหายมีสิทธิที่จะได้รับรู้ความจริงถึงเหตุอันทำให้เกิดการกระทำให้สูญหาย ความคืบหน้าและผลการสอบสวนชะตากรรมของผู้สูญหาย รวมถึงมีสิทธิที่จะได้รับการเยียวยาและการชดเชยที่ทันกาล ยุติธรรม และเพียงพอ“ทุกฝ่ายของอำนาจรัฐ ไม่ว่าจะเป็นบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ต่างผูกพันตามพันธะกรณีที่บัญญัติไว้ในอนุสัญญาฉบับนี้ สำคัญอย่างยิ่งที่รัฐบาลต้องทำให้ความยุติธรรมในการคลี่คลายกรณีการกระทำให้บุคคลสูญหายในอดีต และมีการนำบทบัญญัติของอนุสัญญาฯ ไปปรับใช้กับกฎหมาย นโยบาย และการปฏิบัติภายในประเทศอย่างครอบคลุมและทันท่วงที เพื่อให้สอดคล้องกับหลักการความรับผิดชอบของรัฐ และกฎหมายระหว่างประเทศอย่างสมบูรณ์” เวลิโก้ กล่าวหากต้องการข้อมูลหรือสอบถามเพิ่มเติม โปรดติดต่อ: วรรณภร สมุทรอัษฎงค์ wannaporn.samutassadong@un.org
1 of 5
ข่าวประชาสัมพันธ์
22 กุมภาพันธ์ 2024
รองเลขาฯ ยูเอ็น ขอบคุณ มท. พันธมิตร ขับเคลื่อน SDGs 76 จังหวัด
กรุงเทพมหานคร (19 กุมภาพันธ์ 2567) - รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มท. ให้การต้อนรับรองเลขาธิการสหประชาชาติ และผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย ในโอกาสเข้าแสดงความขอบคุณกระทรวงมหาดไทยที่ส่งเสริมการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ SDGs ในทุกมิติกับองค์การสหประชาชาติอย่างใกล้ชิดเมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 19 กุมภาพันธ์ ณ ห้องรับรองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ชั้น 2 ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้การต้อนรับ คุณอามีนา เจ โมฮัมเหม็ด (Ms. Amina J. Mohammed) รองเลขาธิการสหประชาชาติ คุณกีต้า ซับบระวาล (Ms. Gita Sabharwal) ผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย และคณะ ในโอกาสเข้าแสดงความขอบคุณในความร่วมมือและหารือข้อราชการโดยมี นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ดร.ศรินดา จามรมาน ที่ปรึกษาโครงการผ้าไทยใส่ให้สนุก ผศ.ดร.อนุชา ทีรคานนท์ คณบดีคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะทำงานโครงการผ้าไทยใส่ให้สนุก นางประเสริฐสุข เพฑูรย์สิทธิชัย ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย นายขจร ศรีชวโนทัย อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายชยชัย แสงอินทร์ รองอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน คณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นางมณฑ์หทัย รัตนนุพงค์ ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการข่าว กระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนผู้อำนวยการกองการต่างประเทศ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมให้การต้อนรับ และหารือข้อราชการ โอกาสนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวต้อนรับคุณอามีนา เจ โมฮัมเหม็ด (Ms. Amina J. Mohammed) รองเลขาธิการสหประชาชาติ คุณกีต้า ซับบระวาล (Ms. Gita Sabharwal) ผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย และคณะ และร่วมหารือข้อราชการในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเสริมสร้างความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมและการบริหารจัดการขยะ เพื่อมุ่งสู่การบรรลุเป้าหมาย SDGs พร้อมกล่าวว่า กระทรวงมหาดไทยได้จับมือทำงานร่วมกับสหประชาชาติอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับพื้นที่ซึ่งท่านปลัดกระทรวงมหาดไทยได้ร่วมกับท่านนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย สนับสนุนส่งเสริมให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 76 จังหวัด ร่วมเป็นภาคีในการขับเคลื่อนโลกให้บรรลุเป้าหมาย SDGsโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการรีไซเคิลขยะ การบริหารจัดการขยะ นอกจากนี้ กระทรวงมหาดไทยยังให้ความสำคัญกับประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การจัดการมลภาวะ การใช้พลังงานสะอาด เช่น โซลาร์เซลล์เพื่อสร้างรายได้ ซึ่งมีตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จในระดับจังหวัด อาทิ จังหวัดสุพรรณบุรีที่ผลิตพลังงานจากขยะ และจังหวัดสกลนครที่ใช้พลังงานจากโซลาร์เซลล์ผลิตน้ำดื่ม อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังประสบปัญหาเกี่ยวกับฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ซึ่งเกินค่ามาตรฐานในหลายพื้นที่ จากการเผาไหม้ทางการเกษตร ดังนั้น ทุกภาคส่วนเศรษฐกิจจึงต้องร่วมมือกันในการรณรงค์ส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม “กระทรวงมหาดไทยยินดีที่จะสนับสนุนการขับเคลื่อนการนำเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนไปปฏิบัติในเชิงพื้นที่ (SDG Localization) ให้บรรลุผลสำเร็จ เพื่อมุ่งสู่การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ในทุกมิติ และเป็นตัวอย่างที่ดีในระดับภูมิภาค และระดับโลกต่อไป” นายอนุทินกล่าวในช่วงท้ายคุณอามีนา เจ โมฮัมเหม็ด รองเลขาธิการสหประชาชาติ กล่าวว่า ตนและคณะรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เข้าเยี่ยมและหารือข้อราชการร่วมกับท่านรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมทั้งแสดงความขอบคุณและชื่นชมกระทรวงมหาดไทยที่ได้ให้ความร่วมมืออันดีกับสหประชาชาติ ในประเด็นด้านการขับเคลื่อนความยั่งยืน (Sustainability) มาเป็นระยะเวลายาวนาน ทั้งการเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดร่วมขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในระดับพื้นที่ และมีจังหวัดนำร่องในการนำ SDGs ไปปฏิบัติเชิงพื้นที่ โดยสหประชาชาติยินดีที่จะทำงานร่วมกับกระทรวงมหาดไทยเพื่อกระชับความร่วมมือให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการจัดการปัญหามลภาวะซึ่งเป็นปัญหาสำคัญระดับโลก ณ ขณะนี้ ทั้งในแง่การให้ความช่วยเหลือทางเทคโนโลยีเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ และการจัดทำโครงการนำร่องในระดับพื้นที่ นอกจากนั้น สหประชาชาติมีความยินดีที่กระทรวงมหาดไทยประสบความสำเร็จในการขับเคลื่อน SDGs ในระดับพื้นที่ โดยเฉพาะเรื่องการซื้อขายคาร์บอนเครดิตที่ประสบความสำเร็จ สามารถเป็นตัวอย่างในระดับโลกได้ ตัวอย่างที่สำคัญ เช่น โครงการถังขยะเปียกลดโลกร้อน โครงการธนาคารขยะรีไซเคิล (MOI’s Recyclable Waste Bank) และโครงการแฟชั่นที่ยั่งยืน (Sustainable Fashion)ทั้งนี้ ภายหลังจากเสร็จสิ้นการหารือ ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ได้นำคุณอามีนา เจ โมฮัมเหม็ด รองเลขาธิการสหประชาชาติ พร้อมด้วย คุณกีต้า ซับบระวาล ผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย และคณะ เยี่ยมชมนิทรรศการแฟชั่นผ้าไทยของศูนย์การเรียนรู้ขวัญตา (Khwanta Learning Center) จังหวัดหนองบัวลำภู ตามพระดำริแฟชั่นที่ยั่งยืน (Sustainable Fashion) และนิทรรศการความสำเร็จของการคัดแยกขยะ ผ่านตัวอย่างความสำเร็จขององค์การบริหารส่วนตำบลโก่งธนู จังหวัดลพบุรี ในด้านการจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อน และธนาคารขยะของกระทรวงมหาดไทย โดยมีการสาธิตวิธีการชั่งขยะขายในชุมชน บริเวณโถงชั้น 1 ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย อีกด้วย อ่านข่าวต้นฉบับ
1 of 5
ข่าวประชาสัมพันธ์
23 พฤศจิกายน 2023
ถึงเวลาให้ชุมชนนําทางมุ่งสู่การยุติเอดส์
เป็นเวลาเกือบ 40 ปีที่ประเทศไทยดําเนินการอย่างเข็มแข็งและต่อเนื่อง ด้วยความมุ่งมั่นเพื่อบรรลุเป้าหมายเพื่อยุติปัญหาเอดส์ ที่เป็นภัยคุกคามทางสาธารณสุข ตามเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals) ภายในปี 2573
ประเทศไทยเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางและเป็นต้นแบบในระดับนานาชาติของการมีผู้ได้รับผลกระทบ คือผู้ที่อยู่ร่วมกับเอชไอวีลุกขึ้นมาช่วยเหลือดูแลกันแบบ “กลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน” ตั้งแต่ปี 2538 และได้รวมกันเป็นเครือข่ายทั้งระดับจังหวัด ภูมิภาค เป็นเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย จากจุดเริ่มต้นแบบเพื่อนช่วยเพื่อน ต่อมาในปี 2564 มีการพัฒนาสู่งาน “ศูนย์องค์รวม” ซึ่งเป็นรูปธรรมของการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการพัฒนาระบบบริการด้านเอชไอวีร่วมกับโรงพยาบาล กลุ่มผู้ติดเชื้อฯ ได้พลิกบทบาทจาก ผู้รับบริการ เป็นผู้ร่วมจัดบริการ เคียงบ่าเคียงไหล่กับบุคลากรทางการแพทย์ ติดตามดูแลเพื่อน ๆ ทั้งทางด้านสุขภาพ จิตใจ สังคม และร่วมขับเคลื่อนพัฒนาระบบสุขภาพและสิทธิด้า นอื่น ๆ ร่วมกับชุมชน ปัจจุบัน มีกลุ่มที่ทํางานศูนย์องค์รวมทั้งหมด 219 กลุ่ม
"ไม่เพียงแต่ในประเทศไทยแต่เป็นที่ยอมรับของโลกว่า ความเป็นผู้นําของชุมชน โดยชุมชนมีส่วนร่วม ร่วมคิดร่วมทํา เป็นหุ้นส่วนอย่างแท้จริงในทุกขั้นตอน ตั้งแต่ การวางแผน การจัดบริการ การรณรงค์และการดําเนินการต่าง ๆ เป็นยุทธศาสตร์สําคัญมากและเป็นกุญแจสู่ความสําเร็จ อีกทั้งแนวคิดนี้ยังเป็นต้นแบบของการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนเพื่อแก้ปัญหาด้านสาธารณสุขอื่น ๆ ด้วย เช่น โควิด เป็นต้น” กล่าวโดย ดร. พัชรา เบญจรัตนาภรณ์ ผู้อํานวยการโครงการเอดส์แห่งสหประชาชาติ (UNAIDS)
การมีส่วนร่วมของชุมชนในการยุติปัญหาเอดส์ มีความสําคัญเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณในประเทศไทย ด้วยตระหนักว่าการตั้งรับอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ การระบาดของเอชไอวีเปลี่ยนรูปแบบและเพิ่มขึ้นในผู้ที่มีความเปราะบาง ได้แก่ LGBTQI+, ผู้ใช้สารเสพติด พนักงานบริการ กลุ่มเยาวชน และประชากรข้ามชาติ ดังนั้นจุดแข็งของความเป็นชุมชนคือเข้าใจและเข้าถึงความต้องการ ปัญหาและอุปสรรคของประชากรกลุ่มนี้ที่เป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบอันเนื่องมาจากเอชไอวี ผู้ที่เข้าถึงยาก ผู้ที่ยังมีความกลัว กังวลการตีตราเลือกปฏิบัติ จึงยังไม่เข้าสู่ระบบสุขภาพทั่วไป
คุณสุรางค์ จันทร์แย้ม ประธานคณะกรรมการองค์กรพัฒนาเอกชนด้านเอดส์ (กพอ.) และผู้อํานวยการมูลนิธิเพื่อนพนักงานบริการ (SWING) กล่าวว่า การดําเนินงานโดยชุมชนและเพื่อชุมชนนับว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่สําคัญของการยอมรับในบทบาทและศักยภาพของชุมชนจาก “ผู้รับบริการ” มาเป็น “ผู้ร่วมจัดบริการ” – ในรูปแบบ Community-Led Health Services โดยประเทศได้เข้ามาร่วมสนับสนุนการดําเนินงานภายใต้หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพื่อสร้างให้เกิดความยั่งยืนในการดําเนินงานของชุมชน ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าของประเทศต่อการแก้ปัญหาเอดส์
เภสัชกรหญิง ดร. ยุพดี ศิริสินสุข รองเลขาธิการสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า การมีส่วนร่วมชองชุมชนเป็นหน่วยร่วมบริการ เป็นยุทธศาสตร์ที่จะทําให้ประเทศไทยยุติเอดส์ได้จริง เข้าถึงประชากรที่ต้องการมากที่สุด ในแต่ละปี สปสช.ได้สนับสนุนงบประมาณสําหรับการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในกลุ่มประชากรเป้าหมาย โดยในปีงบประมาณ 2566 งบประมาณด้านบริการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี เป็นเงิน 575.70 ล้านบาท และจัดสรรให้องค์กรภาคประชาสังคม เพื่อร่วมจัดบริการประมาณ 182.25 ล้านบาทต่อปี เพื่อเข้าถึงการป้องกัน การตรวจเอชไอวี และการรักษาได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้เป็นที่น่ายินดีที่มีองค์กรภาคประชาสังคมเข้ารับการอบรมเพื่อร่วมจัดบริการ จากการพัฒนาหลักสูตรของสถาบันเพื่อการวิจัยและนวัตกรรมด้านเอชไอวี หลักสูตรของกรมควบคุมโรค และหลักสูตรของวิทยาลัยราชสุดา มหาวิทยาลัยมหิดล โดยมีการกําหนดมาตรฐานการจัดบริการเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในชุมชนที่ดําเนินการโดยองค์กรประชาสังคม และการประเมินมาตรฐานของการให้บริการ ทั้งนี้เพื่อเป็นการประกันคุณภาพของอาสาสมัครและองค์กรภาคประชาสังคม ที่เป็นหน่วยบริการที่รับการส่งต่อเฉพาะด้านบริการเอชไอวีฯ กับ สปสช. โดยขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยบริการแล้ว 39 องค์กร นายแพทย์นิติ เหตานุรักษ์ รองอธิบดี กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่าปัจจุบันมีอาสาสมัครฯ ที่ได้รับการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข 497 คน นอกจากนี้จากหลักสูตรวิทยาลัยราชสุดา มหาวิทยาลัยมหิดล อีก 88 คน รวมจํานวน 585 คน
การเป็นผู้นําของชุมชนในด้านการสะท้อนข้อมูลจากผู้ที่รับบริการหรือจากผู้ได้ผลกระทบโดยตรงอย่างเป็นระบบ นับว่าเป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง เป็นข้อมูลเชิงยุทธศาสตร์ต่อการกําหนดนโยบายและการปรับปรุงการดําเนินงานในทุกระดับได้อย่างดีและตรงเป้า ได้แก่ ระบบติดตามโดยชุมชน (Community-Led Monitoring, CLM) และการสํารวจดัชนีการตีตราผู้อยู่ร่วมกับเอชไอวี (Stigma Index Survey)
คุณศตายุ สิทธิกาน ผู้อํานวยการมูลนิธิแคร์แมท จังหวัดเชียงใหม่ มีประสบการณ์ตรงในการบริหารจัดการเครื่องมือทั้งสองระบบนี้โดยร่วมพัฒนาประเด็นการกํากับติดตาม และบริการที่มีคุณภาพ โดยยึดผู้รับบริการเป็นศูนย์กลาง รวมถึงการติดตามการตีตราและเลือกปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อเอชไอวีในจังหวัด ผ่านระบบติดตามโดยชุมชน (CLM) ปัจจุบันจังหวัดเชียงใหม่มีโรงพยาบาลเข้าร่วมระบบติดตามโดยชุมชนจํานวน 13 แห่ง โดยนําข้อค้นพบจาก CLM มาพัฒนาคุณภาพการบริการ ดังนี้ (1) การอบรมประเด็นอ่อนไหวเรื่องเพศสําหรับผู้ให้บริการด้านสุขภาพ (2) การพัฒนาเครือข่ายผู้ให้บริการเพร็พ ยาต้านไวรัสก่อนการสัมผัสเขื้อในระดับจังหวัด และ (3) การรณรงค์เพื่อสร้างความเข้าใจและลดการตีตราต่อผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวี ภายใต้แคมเปญ Undetectable = Untransmittable (U=U)
คุณพงศ์ธร จันทร์เลื่อน ประธานคณะอํานวยการการสํารวจดัชนีการตีตราผู้อยู่ร่วมกับเอชไอวี ประเทศไทย กล่าวถึงภาคีเครือข่ายภาคชุมชนในการทําการสํารวจ Stigma Index ที่เป็นส่วนหนึ่งของภาคีระดับโลกในระหว่างปี 2565-2566 เป็นการศึกษาที่ครอบคลุม 25 จังหวัดระดับประเทศ เป็นข้อมูลที่สะท้อนเรื่องราวของการตีตราและเลือกปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับเอชไอวีที่สําคัญมากชิ้นหนึ่งของประเทศไทย
คุณนิภากร นันตา ประธานมูลนิธิผู้หญิงที่อยู่ร่วมกับเอชไอวี ประเทศไทย เป็นผู้บริหารจัดการสํารวจนี้ มีความภาคภูมิใจที่ประเทศไทยเป็นไม่กี่แห่งของโลกที่องค์กรชุมชนผู้หญิงที่อยู่ร่วมกับเอชไอวีเป็นผู้ดําเนินการ ข้อมูล Stigma Index ซึ่งเป็นข้อมูลท่ีช่วยเปลี่ยนเสียงที่เคยเปล่งออกไปแต่ไม่ค่อยมีคนได้ฟังเป็นเสียงที่ดังขึ้น แสดงให้เห็นถึงผลกระทบจากการตีตราและการเลือกปฏิบัติต่อผู้หญิงที่อยู่กับเชื้อเอชไอวีที่ตั้งครรภ์ ความซับซ้อนกับการใช้สารเสพติต และชีวิตทางเพศและอนามัยเจริญพันธ์ ในขณะที่คุณซูฮายนงค์ สมาเฮาะ ผู้จัดการศูนย์ Care team สงขลายังต้องการการสนับสนุนจากภาครัฐทั้งการจัดบริการที่เป็นมิตรรอบด้าน และการสนับสนุนด้านกฎหมายในการลดอันตรายจากการใช้สารเสพติด
จากวันเอดส์โลกปีนี้ 2566 เหลือเพียงอีก 7 ปีที่จะถึงปี 2573 จากข้อมูลเชิงประจักษ์จากโครงการ EpiC ประเทศไทย ดําเนินการโดย Family Health International (FHI 360) ภายใต้การสนับสนุนจากแผนการฉุกเฉินของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ผ่านองค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา พบว่าค่าเฉลี่ยของระดับเซลล์ CD4 ณ วันที่ตรวจพบการติดเชื้อเอชไอวี ณ ศูนยส์ุขภาพชุมชนทั้ง 11 แห่งอยู่ที่ระดับ 429 เซลล์/ลบ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยประเทศที่ 172 เซลล์/ลบ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพขององค์กรภาคประชาสังคมในการร่วมจัดบริการเอชไอวี ที่ยังผลให้ผู้รับบริการรู้สถานะการติดเชื้อของตน เข้ารับการรักษาได้อย่างรวดเร็ว มีสุขภาพดี และลดการถ่ายทอดเชื้อเอชไอวี
นายแพทย์ สุนทร สุนทรชาติ ผู้อํานวยการสํานักอนามัย กรุงเทพมหานคร กล่าวถึง กรุงเทพมหานคร (กทม.) เข้าร่วม Fast Track Cities ตั้งแต่ปี 2557 มุ่งสู่ยุติเอดส์ด้วยความร่วมมือและเป็นหุ้นส่วนกับองค์กรชุมชนทําให้กทม.ได้รับรางวัลทั้งในและต่างประเทศที่เป็นเมืองที่สามารถตรวจเร็วรักษาเร็วภายในวันเดียวได้ อย่างมีประสิทธิผล มีการขยายการให้ยาต้านไวรัสก่อนการสัมผัสเชื้อฯ ได้มากที่สุดของประเทศ และเริ่มเห็นการลดลงของการติดเชื้อรายใหม่ในกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ประพันธ์ ภานุภาค ที่ปรึกษาอาวุโสด้านการวิจัยและนโยบาย สถาบันเพื่อการวิจัยและนวัตกรรมด้านเอชไอวี ผู้ตรวจพบผู้ป่วยเอดส์คนแรกของประเทศไทย มีความหวังว่า ประเทศไทยยังคงสามารถยุติปัญหาเอดส์ได้ตามเป้าหมายใน 7 ปีข้างหน้าได้อย่างแน่นอน ถ้าผู้กําหนดนโยบาย ผู้บริหาร เพิ่มการลงทุนให้แก่องค์กรชุมชนอย่างเต็มที่ในเวลาที่เหลืออยู่และทุกภาคส่วนช่วยกับสนับสนุน แก้ไขนโยบาย กฎระเบียบที่ไม่เอื้อต่อการทํางานองคก์รภาคชุมชน ที่มีพลังมากมายที่จะช่วยให้ประเทศไทยยุติเอดส์ได้จริง
1 of 5
ข่าวประชาสัมพันธ์
22 พฤศจิกายน 2023
UNGCNT-UN ประกาศปั้นบุคลากรทักษะสูงกว่าล้านคน รับเศรษฐกิจยุค 5.0 ยกโมเดลใหม่ Sustainable Intelligence สู่ความยั่งยืนปี 2030
22 พฤศจิกายน 2566 — สมาชิกสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (UNGCNT) ภาคีเครือข่ายด้านความยั่งยืน ร่วมกับสหประชาชาติในประเทศไทย (United Nations in Thailand) จัดประชุมผู้นำภาคเอกชนประจำปี ‘GCNT Forum 2023 : Partnership for Human Capital 5.0 – Towards Sustainable Intelligence ณ ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ รวมพลังพันธมิตรเพื่อพัฒนาคนยุค 5.0 สู่สังคมแห่งภูมิปัญญาที่ยั่งยืน ประกาศเจตนารมณ์ที่จะส่งเสริมการพัฒนาทรัพยากรบุคคล อย่างน้อย 1 ล้านคน ใน 133 องค์กรสมาชิกสมาคมฯ ภายในปี ค.ศ. 2030 เตรียมตั้ง Sustainable Intelligence Youth Club เพิ่มศักยภาพคนรุ่นใหม่ ในปี ค.ศ. 2024 ผ่านการเรียนรู้โดยตรงจากภาคธุรกิจและพันธมิตรสู่สังคมแห่งภูมิปัญญาที่ยั่งยืน โดยมีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานในงาน ณ ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ กรุงเทพมหานคร ในงานนี้ นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้ ดร.ปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานร่วมงานและกล่าวปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ “วิถีคิดผู้นำด้านการพัฒนาคนสู่เศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืน” โดยระบุว่า คนเป็นศูนย์กลางของการดำเนินงาน (human-centered approach) ตามแนวทางเศรษฐกิจใหม่ของรัฐบาลที่เรียกว่า “New Growth Path” เพื่อตอบโจทย์ Fifth Industrial Revolution ซึ่งประกอบด้วย 3 มิติคือ (1) Green growth การคำนึงถึงผลกระทบของการทำธุรกิจต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมด้วย (2) Innovation-driven growth การใช้ประโยชน์จากองค์ความรู้ นวัตกรรมด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแขนงต่างๆรวมทั้งเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยีดิจิทัลในการดำเนินนโยบายภาครัฐ และการทำธุรกิจของภาคเอกชน และ (3) Community-based growth การยกระดับแรงงานและการพัฒนากระบวนการผลิตที่ให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างความเข้มแข็งแก่ผู้ประกอบการ การสร้างงานโดยมีนโยบายด้านแรงงานที่นำไปสู่การจ้างงานเต็มที่ และงานที่มีคุณค่าสำหรับทุกคน โดยได้ระบุว่าภาคเอกชนสามารถเป็นแบบอย่างที่ดีในการดำเนินชีวิตและธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนในหลากหลายมิติเช่น การวัด carbon footprint ขององค์กร การสนับสนุนให้ supply chain ในธุรกิจเป็นธุรกิจสีเขียว การให้โอกาสธุรกิจเล็ก ๆ หรือ entrepreneursสร้างสรรค์ business model ใหม่ๆ “ในระยะต่อไป เราต้องเน้นการพัฒนาที่ยั่งยืนในระดับท้องถิ่น (SDG localization) ซึ่งหมายถึงการพัฒนาทักษะทั้ง upskill reskill และ new skills เพื่อพัฒนาคนให้เต็มศักยภาพในทุกช่วงวัย ให้มีความคิดสร้างสรรค์และริเริ่ม เพื่อตอบโจทย์ creative economy และเสริมสร้างผลิตภาพของประเทศในภาพรวม” ดร.ปานปรีย์ กล่าว ด้านนายศุภชัย เจียรวนนท์ นายกสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย หรือUNGCNT และประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด กล่าวรายงานในหัวข้อ “พัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่สังคมแห่งภูมิปัญญาที่ยั่งยืน” กล่าวว่า การเตรียมความพร้อมของ “คน” หรือทรัพยากรมนุษย์ นอกจากจะช่วยให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างแท้จริงแล้ว ยังจำเป็นสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในยุค 5.0 หรือยุคที่มนุษย์และเทคโนโลยี โดยเฉพาะปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ผสมผสานเป็นหนึ่งเดียวกัน พร้อมทั้งเสนอแนวทางเพิ่มเติมเพื่อพัฒนาทุนมนุษย์ สู่ “สังคมแห่งภูมิปัญญาที่ยั่งยืน” สำหรับนักเรียน นักศึกษา ต้องรู้จักใช้เทคโนโลยี เรียนรู้ด้วยการลงมือทำจริง (Action-Based Learning) และเพิ่มความสามารถในการปรับตัวด้วย Growth Mindset บ่มเพาะ “จิตสำนึกแห่งความยั่งยืน” ครูผู้สอน ต้องปรับบทบาทจากผู้สอน (Instructor) เป็น โค้ช ผู้นำกระบวนการเรียนรู้ (Facilitator) เพื่อบ่มเพาะผู้นำการเปลี่ยนแปลง และมีตัวชี้วัดที่ส่งเสริมความโปร่งใส โดยภาคเอกชน สามารถทำบทบาทนี้ได้ ด้วยการจัดกิจกรรมเป็นฐานหรือศูนย์การเรียนรู้ สอดคล้องกับ SDGs ข้อที่เกี่ยวกับธุรกิจของตนแรงงาน องค์กรควรปรับมุมมองในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ว่าเราจะใช้ประโยชน์จาก AI อย่างไรให้เสริมงานที่ทำ นายจ้างรวมถึง ภาครัฐ ควรเตรียมทักษะแรงงานและทรัพยากรมนุษย์เพื่อให้แรงงานปัจจุบันและอนาคต สามารถทำงานกับ AI ได้ โดยได้ยืนยันบทบาทของ UNGCNT ที่จะระดมกำลังสนับสนุนการปฏิรูประบบการศึกษา เพิ่มขีดความสามารถของครูอาจารย์ บุคลากรทางการศึกษา พัฒนาแรงงาน ให้มีทักษะเหมาะสม ต่อการเปลี่ยนผ่านสู่ยุค 5.0 เน้นการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม สร้างคน SI - Sustainable Intelligence ที่มี “ภูมิปัญญาที่ยั่งยืน” สร้างพื้นที่แห่งการพัฒนาที่ยั่งยืนแก่ทุกคน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง “ผมเชื่อว่า “คน” ที่มีภูมิปัญญาที่ยั่งยืน หรือคนยุค SI Over AI จะช่วยให้สังคมไทยและสังคมโลกเกิดการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม และร่วมมือกันจัดการกับข้อท้าทายต่างๆ บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้ง 17 ข้อ ได้จริงตามกำหนด” นายศุภชัย กล่าว ในขณะที่ นางกีต้า ซับบระวาล (Gita Sabharwal) ผู้ประสานงานสหประชาชาติประจําประเทศไทยได้ชี้ว่าการพัฒนาทุนมนุษย์ในยุคปัจจุบันมีความซับซ้อนมาก การยกระดับทักษะความสามารถของแรงงานเป็นวาระสำคัญเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของประเทศ และการพัฒนาบนหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน (BCG) ทีมสหประชาชาติในประเทศไทยพร้อมที่จะสนับสนุนหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนในการค้นหาทักษะที่จำเป็นในการเปลี่ยนผ่านดังกล่าว โดยจะต้องอาศัยวิธีการแบบบูรณาการรวมกัน ด้วยมุมมองล่างขึ้นบน (bottom up) และบนลงล่าง (top down) พร้อมกับการบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติ ซึ่งเป็นรากฐานของทุนมนุษย์ที่ยั่งยืน “เสาหลักของการพัฒนาประเทศในช่วงการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวคือการพัฒนา “ทุนมนุษย์” ซี่งจะช่วยสร้างผลลัพธ์ที่สูงขึ้น และเพิ่มศักยภาพประเทศให้มีบทบาทนำในเรื่องเศรษฐกิจหมุนเวียน นอกจากนี้ ความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยต่อ SDGs จะเป็นแรงผลักดันที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการเร่งยกระดับขีดความสามารถของภาคเอกชนในการร่วมบรรลุเป้าหมายเหล่านี้ นำโดย UNGCNT” นางกีต้า กล่าว หนึ่งในไฮไลท์สำคัญของงานนี้ คือการประกาศเจตนารมณ์ร่วมกันของสมาชิก UNGCNT ที่จะเร่งผลักดันนโยบายการพัฒนาบุคลากร ยกระดับความรู้ และทักษะเชิงเทคโนโลยี สร้างจิตสำนึกด้านความยั่งยืน ของบุคลากร อย่างน้อย 1 ล้านคน ใน 133 องค์กรสมาชิก ภายในปี ค.ศ. 2030 และจะพัฒนาศักยภาพบุคลากรของผู้ประกอบการตลอดห่วงโซ่อุปทาน เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนผ่านอย่างเป็นธรรม นอกจากนี้ ยังร่วมมือกันพันธมิตร ตั้ง Sustainable Intelligence Youth Club ในปี ค.ศ. 2024 เพื่อสนับสนุนเยาวชนให้มีทัศนคติและทักษะที่จำเป็นต่อการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ผ่านการเรียนรู้โดยตรงจากภาคธุรกิจและพันธมิตรสู่การสร้างสังคมแห่งภูมิปัญญาที่ยั่งยืน นอกจากนี้ ยังมีเวทีเสวนา 6 หัวข้อสำคัญ ได้แก่ การเสวนาของผู้นำธุรกิจ สมาชิก UNGCNT และพันธมิตรในภาคส่วนต่างๆ เพื่อร่วมมือกันขับเคลื่อนศักยภาพทุนมนุษย์ยุค 5.0 ได้แก่ (1) การเปลี่ยนแปลงสู่ความยั่งยืนในบริบทประเทศไทย โดยเฉพาะในมิติของคน (2) ปั้นคนให้ก้าวไปข้างหน้าและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง (3) เปลี่ยนผ่านคนอย่างเป็นธรรมสู่องค์กรสีเขียว (4) ปลุกศักยภาพคนรับการเปลี่ยนแปลงตลอดห่วงโซ่อุปทาน (5) ยกระดับคน สร้างพลังสังคม และสุดท้าย จะร่วมกัน (6) มองความยั่งยืนผ่านคนรุ่นอนาคต ทั้งนี้ GCNT Forum 2023 “พันธมิตรเพื่อพัฒนาคนยุค 5.0 สู่สังคมแห่งภูมิปัญญาที่ยั่งยืน” จัดขึ้น ณ ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ ตามรูปแบบการประชุมอย่างยั่งยืน (Sustainable Event) โดยสอดคล้องกับแนวทางของสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ สสปน. โดยมีสมาชิก UNGCNT และพันธมิตรเข้าร่วมงานกว่า 60 องค์กร 7 สถาบันการศึกษา 15 องค์กรเยาวชน อาทิ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) ผู้แทนที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) สถาบัน บัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Sasin School of Management) วิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) ศูนย์อาเซียนเพื่อการศึกษาและการหารือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน มหาวิทยาลัย มหิดล วิทยาลัยพัฒนศาสตร์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยานเรศวร ผู้นำองค์กรธุรกิจชั้นนำ อาทิ บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จํากัด บริษัท เอ็น อาร์ อินสแตนท์โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ปตท. สำรวจและผลิต ปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ธนาคารเอสเอชบีซี จำกัด (มหาชน) บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จํากัด บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) บริษัท ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
1 of 5
ข่าวประชาสัมพันธ์
30 ตุลาคม 2023
UNDP ร่วมกับ ก.ล.ต. TLCA และ GCNT เปิดตัว “คู่มือเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนสำหรับบริษัทจดทะเบียน และมาตรฐานผลกระทบ SDG” เพื่อส่งเสริมภาคธุรกิจไทยให้ดำเนินธุรกิจที่สนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่เปิดโอกาสทางการตลาดมูลค่ากว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
กรุงเทพฯ (27 ตุลาคม 2566) – โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Programme: UNDP) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) พร้อมด้วยสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย (TLCA) และสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (GCNT) จัดงานเปิดตัว “คู่มือเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนสำหรับบริษัทจดทะเบียน และมาตรฐานผลกระทบ SDG”
คู่มือเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนสำหรับบริษัทจดทะเบียนจัดทำขึ้นเพื่อใช้เป็นแนวปฏิบัติสำหรับภาคธุรกิจที่จะผนวกแนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืนเข้ากับการกลยุทธ์และการดำเนินธุรกิจ โดยกรอบการดำเนินธุรกิจและมาตรการการวัดผลกระทบด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนเป็นหลักการที่ถูกยอมรับระดับสากล ที่ภาคธุรกิจสามารถใช้เป็นแนวทางอ้างอิงในการดำเนินธุรกิจที่ส่งผลเชิงบวกด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม และสามารถจัดทำรายงานผลการดำเนินงานดังกล่าวได้โดยสอดคล้องตามข้อกำหนดในแบบการเปิดเผยข้อมูล 56-1 One Report
สำหรับมาตรฐานผลกระทบ SDGs นั้น คือ แนวปฏิบัติมาตรฐานแบบสมัครใจ เพื่อใช้ในการบริหารจัดการและดำเนินงานขององค์กร โดยออกแบบมาเพื่อช่วยให้ภาคธุรกิจรวมทั้งผู้ลงทุนสามารถผนวกแนวคิดด้านความยั่งยืนและเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนไว้ในระบบการบริหารจัดการและใช้ประกอบการพิจารณาตัดสินใจ โดยระบุเกี่ยวกับสิ่งสำคัญที่บริษัทจะต้องดำเนินการใน 4 เรื่อง ได้แก่ กลยุทธ์ แนวทางการจัดการ ความโปร่งใส และการกำกับดูแล ซึ่งการปฏิบัติตามแนวทางดังกล่าวจะช่วยให้บริษัทดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืนและสามารถบริหารจัดการเพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวก ซึ่งส่งผลดีสำหรับการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
ที่ผ่านมาคู่มือฉบับนี้ รวมถึงมาตรฐานผลกระทบ SDG ได้ให้กรอบการทำงานกับองค์กรที่สามารถตัดสินใจในประเด็นการพัฒนาที่ยั่งยืนได้ดีขึ้น ตั้งแต่ประเด็นลดก๊าซเรือนกระจก การจัดการขยะ ไปจนถึงสถานที่ทำงานที่มีความครอบคลุม นอกจากนี้ยังช่วยปรับเปลี่ยนโมเดลทางธุรกิจของทั้งองค์กรและของคู่ค้าให้สามารถสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ตลอดจนช่วยลดความเสี่ยง และสามารถคว้าโอกาสทางธุรกิจที่เกิดจากการปฏิบัติตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนอีกด้วย
เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเข้าร่วมงานเพื่อแสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับภาคธุรกิจและการพัฒนาที่ยั่งยืน ชี้ว่า "SDG guide book และ SDG Impact standards นี้เป็นทั้ง โอกาส และการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน (competitiveness) รูปแบบใหม่ สำหรับบริษัทจดทะเบียน และภาคธุรกิจในประเทศไทย เนื่องจากบริษัทสมัยใหม่ต้องการจะนำเงินมาลงทุนในประเทศที่มีความยั่งยืนชัดเจนมากยิ่งขึ้น”
ด้านกีต้า ซับบระวาล ผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย กล่าวชื่นชมการยกระดับตลาดทุนไทยให้เข้าถึงเครื่องมือและแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศที่สอดคล้องกับ SDGs โดยเน้นย้ำว่า “การเร่งขับเคลื่อน SDGs จะต้องอาศัยภาคเอกชนในฐานะผู้นำอุตสาหกรรม ตลอดจนการปฎิรูปห่วงโซ่อุปทานให้มีความยั่งยืนยิ่งขึ้นในทุกด้าน คู่มือเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ฯ ที่เปิดตัวในวันนี้ ถือเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อช่วยให้ภาคเอกชนปรับตัวเข้ากับแนวทาง ESG ได้อย่างแนบแน่นยิ่งขึ้น สหประชาชาติในประเทศไทยมุ่งหวังที่จะสนับสนุนการขับเคลื่อนประเทศครั้งประวัติศาสตร์สู่การเติบโตสีเขียวที่มั่งคั่ง คาร์บอนต่ำ ทนต่อสภาพภูมิอากาศ และมีความเป็นธรรม”
ภาคธุรกิจถือว่ามีบทบาทสำคัญในการพาประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งต้องอาศัยระบบนิเวศที่ต้องเริ่มมาตั้งแต่วิสัยทัศน์ของผู้บริหาร จนถึงการผลักดันการลงทุนในด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า “ก.ล.ต. มุ่งพัฒนาระบบนิเวศของตลาดทุนให้เอื้อต่อการขับเคลื่อนไปสู่ความยั่งยืน ด้วยการส่งเสริมให้ภาคธุรกิจตระหนักถึงเรื่องสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลที่ดี และผนวกเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินธุรกิจ สอดรับกับเป้าหมาย SDGs โดยเน้นบทบาทของคณะกรรมการและผู้บริหารระดับสูงในฐานะผู้นำบริษัท (tone from the top) ควบคู่ไปกับการผลักดันให้ผู้ลงทุนคำนึงถึงการลงทุนอย่างรับผิดชอบ เพื่อสร้างห่วงโซ่คุณค่าและระบบนิเวศที่ยั่งยืน นอกจากนี้ ยังสนับสนุนการใช้เครื่องมือทางการเงินใหม่ๆ เพื่อขับเคลื่อนเงินทุนจากภาคเอกชนสู่การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยร่วมมือและขับเคลื่อนร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในและต่างประเทศ ก.ล.ต. จึงหวังว่าคู่มือและมาตรฐานผลกระทบ SDGs จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยส่งเสริมให้บริษัทจดทะเบียนมีความรู้ความเข้าใจ โดยนำมาใช้ประกอบการดำเนินธุรกิจได้อย่างเป็นรูปธรรม และช่วยให้สามารถเปิดเผยข้อมูลการดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืนและจัดทำรายงานประจำปี (56-1 One Report) ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม สอดคล้องกับมาตรฐานสากล สร้างความน่าเชื่อถือและเป็นที่ยอมรับของผู้ลงทุน ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่าของกิจการ (value chain)”
โดยคู่มือเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนสำหรับภาคธุรกิจจะเป็นเครื่องมือที่สร้างมาตรฐานและบรรทัดฐานใหม่ในการทำธุรกิจ และช่วยสร้างบรรยากาศแห่งการมุ่งมั่นทำธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล อุปนายกสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย ชี้ว่า “ประเด็นการพัฒนาความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชนเป็นประเด็นที่สังคมโลกให้ความสำคัญมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง และได้กลายเป็นประเด็นหลักของทุกประเทศ รวมถึงประเทศไทย โดยทุกภาคส่วนของไทย ได้แก่ภาครัฐ ภาคเอกชน หน่วยงานกำกับ และทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ได้ให้ความสำคัญและกำหนดเรื่องดังกล่าวเป็นเป้าหมายร่วมกันในการขับเคลื่อนความยั่งยืนขององค์กรและของประเทศ อาทิ สำนักงาน ก.ล.ต. ได้ปรับปรุงการเปิดเผยข้อมูลในแบบรายงานประจำปี (แบบ 56-1 One Report) ให้ครอบคลุมนโยบายและแนวปฏิบัติด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชนของบริษัทจดทะเบียนตลอดจนห่วงโซ่คุณค่า (Value chain) และได้กลายเป็นมาตรฐานใหม่สำหรับบริษัทจดทะเบียนไทย ในการเรียนรู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ เปรียบเทียบ และแข่งขันระหว่างบริษัทจดทะเบียน รวมถึงการนำ ESG (Environment, Social, Governance) ผนวกเข้ากับกลยุทธในการดำเนินธุรกิจของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งเป็นช่องทางในการพัฒนาและต่อยอดในการขับเคลื่อนประเทศไทยให้บรรลุพันธกิจในการรักษาสิ่งแวดล้อมและการดูแลสิทธิมนุษยชนให้เป็นสากล”
เช่นเดียวกับศุภชัย เจียรวนนท์ นายกสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย ที่ย้ำถึงบทบาทของสมาคมฯ ว่า “สมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย มุ่งส่งเสริมการแข่งขันกันทำความดีอย่างสร้างสรรค์ หรือ “Race to the top” พร้อมร่วมมือกับพันธมิตรทุกภาคส่วน สนับสนุนบริษัทจดทะเบียนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทขนาดกลางและขนาดย่อมตลอดทั้ง supply chain ของไทย เปิดเผยรายงานด้านความยั่งยืนต่อสาธารณะที่มีความโปร่งใส ประสิทธิภาพ และตรวจสอบติดตามผลการดำเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรม”
และเพื่อเป็นการเร่งการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) เรอโน เมแยร์ ผู้แทนโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทย ระบุว่า “การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือของทุกภาคส่วนในสังคม รัฐบาลไม่สามารถทำให้สำเร็จได้เพียงผู้เดียว แต่ต้องอาศัยความรับผิดชอบร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ระหว่างตัวแทนภาครัฐและตัวแทนที่ไม่ใช่รัฐ โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติจึงทำงานใกล้ชิดกับภาคธุรกิจ และคาดหวังให้คู่มือเล่มนี้ให้แนวทางการปฏิบัติที่ชัดเจนกับบริษัทจดทะเบียน ไม่ใช่แค่เพียงเพื่อดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน แต่ยังสามารถประเมินผลกระทบด้าน SDGs เพื่อรายงานผลได้ด้วย มาตรฐานการประเมินและกรอบการทำงานภายใต้คู่มือนี้จะช่วยส่งเสริมการลงทุนของภาคธุรกิจให้สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน และโน้มน้าวให้บริษัทต่างๆ หันมาสร้างผลกระทบด้าน SDGs มากขึ้น”
สอบถามเพิ่มเติม โปรดติดต่อ
Aphinya Siranart
โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP)
aphinya.siranart@undp.org
----
Download the SDG guidebook
1 of 5
ทรัพยากรล่าสุด
1 / 11
ข้อมูล
10 ธันวาคม 2021
1 / 11