ล่าสุด
เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนใน ประเทศไทย
การทำงานของหน่วยงานทั้ง 21 แห่งของสหประชาชาติในประเทศไทยครอบคลุมเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้งหมดในฐานะประเทศผู้มีรายได้ปานกลางระดับสูงจากการประเมินโดยองค์การสหประชาชาติ ทีมสหประชาชาติประจำประเทศจะสนับสนุนกิจกรรมที่ให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนดังต่อไปนี้ ข้อ 1.3 การขยายขอบเขตการคุ้มครองทางสังคม ข้อ 3.4 การแก้ปัญหาเกี่ยวกับโรคไม่ติดต่อ ข้อ 4.1 การช่วยให้ทุกคนเข้าถึงการศึกษา โดยมุ่งเน้นไปที่เยาวชนอพยพ ข้อ 5.5 การสนับสนุนเพื่อให้สตรีมีส่วนร่วมในการตัดสินใจทางการเมืองมากขึ้น ข้อ 8.3 การสนับสนุนธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมและนวัตกรรมโดยเยาวชน ข้อ 10.2 การเปิดรับคนชายขอบ โดยเฉพาะชุมชน LGBTI ข้อ 10.7 การดูแลการโยกย้ายถิ่นฐาน ข้อ 13.2 ยุทธศาสตร์เพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับชาติและระดับท้องถิ่น ข้อ 16.1 การสนับสนุนความสามัคคีในสังคมเพื่อยุติความรุนแรงในภาคใต้ของประเทศไทย ข้อ 16.9 การผลักดันและสนับสนุนการยุติปัญหาคนไร้สัญชาติ ข้อ 17.7 การเป็นพันธมิตรกับภาคเอกชนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน และข้อ 17.9 การแบ่งปันประสบการณ์ของประเทศไทยและแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดผ่านการแลกเปลี่ยนใต้ – ใต้
สิ่งพิมพ์
03 พฤษภาคม 2022
2021 UN Thailand Results Report
In 2021 and beyond, the UN Country Team in Thailand is providing comprehensive support for the economic and social transformation to achieve a high value- added, resilient, sustainable and low-carbon society. Partnerships are critical to all of the UN’s work in Thailand, including the close working relationship with the Royal Thai Government, deepening collaboration with the private sector, bankers and investors, and expanding ties with civil society.
In response to the pandemic, the UNCT led by repurposing financing and generating evidence to reach the most vulnerable, followed by a policy- orientated approach for the sustainable and resilient recovery. The UN Sustainable Development Cooperation Framework (2022-2026) was co-created with the Royal Thai Government to improve coordination and integrated policy advice including UNCT members and partners.
Over the course of 2021, UN research, coordination and policy advice moved the needle on legislation and practices on migration, social protection, non-communicable diseases, comprehensive drug reforms, improvements to healthcare and transition to a low-carbon society. Leave No One Behind and build back better have been guiding principles in both the pandemic response and strategic planning, with gender, youth, finance, innovation and digitalization also cross-cutting priorities across the UNCT’s programming.
Following the UN’s anniversary, 2021 marked 75 years since Thailand joined the United Nations, during which time the country has seen remarkable development and emerged as a regional leader in promoting the Sustainable Development Goals. The UN stands committed as a steady and innovative partner in the achievement of the national development plan and progress towards the Sustainable Development Goals.
1 of 5
เรื่อง
12 มีนาคม 2022
10 วิธีแก้วิกฤตโลกร้อนด้วยตัวเรา
เพื่อรักษาสภาพภูมิอากาศให้ยังคงเอื้อต่อการดำรงชีวิต การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิจะต้องลดลงเป็นศูนย์ภายในปี 2050 แน่นอนว่าภาครัฐและภาคธุรกิจจะต้องดำเนินการอย่างชัดเจน รวดเร็ว และรอบด้าน แต่การเปลี่ยนผ่านสู่โลกคาร์บอนต่ำก็ต้องอาศัยการมีส่วนร่วมของประชาชนด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบเศรษฐกิจที่ซับซ้อน
ActNow เป็นโครงการรณรงค์ของสหประชาชาติว่าด้วยการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืนในระดับบุคคล เราทุกคน
สามารถช่วยลดภาวะโลกร้อน ดูแลโลกของเรา และกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ด้วยการทำกิจกรรมที่ส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยลง
บันทึกสิ่งที่คุณทำเพื่อแก้ปัญหาสภาพอากาศ และร่วมเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามระดับโลกผ่านแอปพลิเคชันนี้
พลังงานและการขนส่งคือหัวใจ
อาหารก็สำคัญ
เป็นกระบอกเสียง!
ㅤㅤ
ㅤㅤ
ไฟฟ้าและความร้อนส่วนใหญ่ที่เราใช้ยังคงต้องอาศัยพลังงานจากถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซ เครื่องบินและรถยนต์ส่วนใหญ่ก็ยังใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล คุณสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้โดยใช้พลังงานที่บ้านให้น้อยลง เปลี่ยนไปใช้พลังงานลมหรือพลังงานแสงอาทิตย์ หลีกเลี่ยงการเดินทางด้วยเที่ยวบินระยะไกล และขับรถให้น้อยลง
• ติดตามการประชุมระดับผู้นำด้านพลังงาน
• ติดตามการประชุมแห่งสหประชาชาติด้านการคมนาคมที่ยั่งยืนระดับโลก (UN Global Sustainable Transport Conference)
ㅤㅤㅤ
การผลิต การแปรรูป การขนส่ง การบริโภค และการกำจัดอาหารล้วนนำไปสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจก คุณสามารถลดผลกระทบต่อสภาพอากาศได้ด้วยการซื้ออาหารในท้องถิ่นและตามฤดูกาล รับประทานอาหารจากพืชให้มากขึ้น ใช้วัตถุดิบอาหารที่คุณมีให้หมด และและทำปุ๋ยหมักจากเศษอาหารที่เหลือ
• ร่วมลดผลกระทบได้วันนี้
• อ่านเกี่ยวกับการประชุมสุดยอดผู้นำระบบอาหารโลก (UN Food Systems Summit)
ㅤㅤㅤ
การดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมจากทุกภาคส่วนของสังคมคือปัจจัยหลักในการเปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็วสู่อนาคตที่มีความยืดหยุ่นต่อสภาพอากาศ จงเปล่งเสียงของคุณ เรียกร้องต่อผู้นำระดับโลก กระตุ้นให้ผู้คนในเมือง ในภูมิภาค และในมหาวิทยาลัยของคุณ ตลอดจนธุรกิจต่าง ๆ ลงมือดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อให้การปล่อยมลพิษสุทธิเป็นศูนย์
• ร่วมขับเคลื่อนไปกับปฏิบัติการแข่งขันเพื่อคาร์บอนเป็นศูนย์ (Race to Zero)
• ติดตามพันธมิตรลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero Coalition)
ร่วมแก้ไขวิกฤตสภาพภูมิอากาศด้วย 10 วิธีต่อไปนี้!
ร่วมคิด ร่วมทำ สู่ความยั่งยืนเพื่อโลกของเรา—วิถีชีวิตของเราส่งผลกระทบอย่างมากต่อโลก การตัดสินใจของเราจึงมีความสำคัญ ราว 2 ใน 3 ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกมาจากภาคครัวเรือนหรือระดับบุคคล และภาคพลังงาน อาหาร และการขนส่งซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในชีวิตของเราต่างก็มีส่วนปล่อยมลพิษประมาณร้อยละ 20 ด้วยเหตุนี้ เราทุกคนจึงสามารถสร้างความแตกต่างได้ ตั้งแต่ไฟฟ้าที่เราใช้ อาหารที่เรารับประทาน ไปจนถึงวิธีการที่เราเดินทาง ลองเริ่มต้นด้วย 10 วิธีดังต่อไปนี้ หรือดาวน์โหลดแอปเพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติมพร้อมบันทึกการมีส่วนร่วมของคุณได้เลย
ประหยัดพลังงานที่บ้าน
การผลิตไฟฟ้าและความร้อนส่วนใหญ่ใช้พลังงานจากถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซ เราสามารถใช้พลังงานให้น้อยลงได้โดยการปรับระดับการทำความร้อนและความเย็นให้ต่ำลง เปลี่ยนมาใช้หลอดไฟ LED และเครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดพลังงาน ซักผ้าด้วยน้ำเย็น หรือตากผ้าแทนการใช้เครื่องอบผ้า
เดิน ปั่นจักรยาน หรือใช้ระบบขนส่งสาธารณะ
ถนนทั่วโลกแน่นขนัดไปด้วยยานพาหนะซึ่งส่วนใหญ่ใช้น้ำมันดีเซลหรือเบนซินเป็นเชื้อเพลิง การเดินหรือขี่จักรยานแทนการขับรถจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทั้งยังช่วยเสริมสร้างสุขภาพและความแข็งแรงอีกด้วย หากคุณต้องเดินทางไกล ลองเปลี่ยนมาโดยสารรถไฟหรือรถประจำทาง และติดรถไปกับผู้อื่นเมื่อทำได้
รับประทานผักให้มากขึ้น
แค่รับประทานผัก ผลไม้ ธัญพืชเต็มเมล็ด พืชตระกูลถั่ว และเมล็ดพืชมากขึ้น และลดเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากนมให้น้อยลง คุณก็สามารถลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างมาก โดยทั่วไปกระบวนการผลิตอาหารที่มาจากพืชจะสร้างก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่า อีกทั้งยังใช้พลังงาน ที่ดิน และน้ำน้อยกว่า
เลือกวิธีเดินทาง
เครื่องบินใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างมหาศาล และปล่อยก๊าซเรือนกระจกจำนวนมาก การนั่งเครื่องบินให้น้อยลงจึงเป็นหนึ่งในวิธีที่เร็วที่สุดในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หากทำได้ ให้คุณนัดพบกันในทางออนไลน์ ขึ้นรถไฟ หรือยกเลิกการเดินทางระยะไกลนั้นไปเลย
รับประทานอาหารให้หมด
ทุกครั้งที่คุณทิ้งอาหาร คุณกำลังทิ้งทรัพยากรและพลังงานที่ใช้ในการเพาะปลูก/เลี้ยง ผลิต บรรจุ และขนส่งอาหารนั้น ๆ และอาหารที่บูดเน่าอยู่ในบ่อขยะก็จะปล่อยก๊าซมีเทนซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่รุนแรงมาก ดังนั้น รับประทานอาหารที่คุณซื้อมาให้หมดและส่วนที่เหลือให้หมักทำปุ๋ย
ลด ใช้ซ้ำ ซ่อมแซม และรีไซเคิล
อุปกรณ์ไฟฟ้า เสื้อผ้า และสินค้าอื่น ๆ ที่เราซื้อล้วนแล้วแต่ก่อให้เกิดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ณ จุดใดจุดหนึ่งของการผลิต ตั้งแต่การหาวัตถุดิบ ไปจนถึงการผลิต และการขนส่งสินค้าสู่ตลาด คุณสามารถช่วยรักษาสภาพอากาศของเราด้วยการซื้อของให้น้อยลง ซื้อของมือสอง ซ่อมหากซ่อมได้ และรีไซเคิล
เปลี่ยนแหล่งพลังงานในบ้าน
สอบถามบริษัทสาธารณูปโภคของคุณว่าพลังงานที่คุณใช้ในบ้านนั้นผลิตมาจากน้ำมัน ถ่านหิน หรือก๊าซหรือไม่ ถ้าเป็นไปได้ ให้ลองเปลี่ยนไปใช้แหล่งพลังงานหมุนเวียน เช่น ลมหรือพลังงานแสงอาทิตย์ หรือติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาเพื่อผลิตพลังงานให้บ้านของคุณ
เปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้า
หากคุณวางแผนที่จะซื้อรถยนต์ ลองเลือกดูรถยนต์ไฟฟ้าซึ่งตอนนี้มีหลายรุ่นและราคาถูกลง แม้ว่าไฟฟ้าที่ใช้จะยังผลิตมาจากเชื้อเพลิงฟอสซิลอยู่ แต่รถยนต์ไฟฟ้าก็ช่วยลดมลพิษทางอากาศและปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่ารถยนต์ที่ใช้แก๊สหรือดีเซลอย่างมีนัยสำคัญ
เลือกผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ทุกการใช้จ่ายของเราส่งผลกระทบต่อโลกทั้งสิ้น คุณมีอำนาจว่าจะเลือกสนับสนุนสินค้าและบริการใดเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ให้คุณซื้ออาหารตามฤดูกาลที่ผลิตในท้องถิ่น เลือกผลิตภัณฑ์จากบริษัทที่ใช้ทรัพยากรอย่างมีความรับผิดชอบและมุ่งมั่นที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและของเสีย
เป็นกระบอกเสียง
เปล่งเสียงของคุณและชักชวนผู้อื่นให้ร่วมลงมือด้วยกัน นี่เป็นหนึ่งในวิธีที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพที่สุดในการสร้างการเปลี่ยนแปลง ชักชวนเพื่อนบ้าน เพื่อนร่วมงาน เพื่อน และครอบครัวของคุณ บอกให้ธุรกิจต่าง ๆ รู้ว่าคุณต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงที่กล้าหาญและชัดเจน ตลอดจนเรียกร้องให้ผู้นำท้องถิ่นและระดับโลกดำเนินการในทันที
โดยท่านสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิถีชีวิตคาร์บอนต่ำจากรายงานช่องว่างการปล่อยมลพิษของ โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Environment Programme) ปี 2020 ได้ที่นี่
ภาพ: Niccolo Canova
1 of 5
เรื่อง
10 เมษายน 2022
UNODC Executive Director visits the frontlines of the Asia-Pacific drug trade
The so-called Golden Triangle area, bordering Myanmar, Thailand and the Lao People’s Democratic Republic, has historically been a centre of Southeast Asia’s illicit drug economy. In her first mission to the Golden Triangle, Executive Director of the United Nations Office on Drugs and Crime (UNODC) Ghada Waly learned about what Thailand has done, and is doing, in response to the regional drug challenge that might be applied to other parts of the world.
Ms. Waly’s mission to northern Thailand started with a visit to the Mae Fah Luang Foundation in Doi Tung, Chiang Rai Province. For the past four decades, Mae Fah Luang has transformed communities characterized by opium production and insecurity into places with sustainable economies. Interacting with Doi Tung’s community, the Executive Director appreciated learning many lessons and key concepts of the Thai approach to alternative development.
The mission also included a visit to neighbouring Chiang Mai Province and the Roi Jai Rak project, which was conceived as a way to address significant and long-standing problems related to synthetic drug use and trafficking. The Roi Jai Rak project applies traditional alternative development approaches to provide sustainable livelihoods to local communities, community policing, and health services for people who use drugs. Beneficiaries of the project shared their experience with Ms. Waly and discussed the strengths of the approach, lessons to consider for other places, and their hopes for the future.
Thailand also cooperates extensively with other regional partners on law enforcement operations. Executive Director Waly visited the Doi Chang Moob military observation base on the Thailand-Myanmar border with Wichai Chaimongkhon, Secretary-General of the Office for the Narcotics Control Board of Thailand. She met with Thai military officers to discuss the current security situation, and joined the Royal Thai Navy for a patrol on the Mekong river – a key corridor for illicit trafficking – and to learn about border security operations and cooperation.
An important example of UNODC’s cooperation with Thailand is found in the recently-established International Narcotics Control College in Chiang Saen, Chiang Rai Province. Visiting the college, Ms. Waly announced UNODC’s support for it as a regional training hub and centre to assist countries to advance capacities in law enforcement, cross-border cooperation, demand reduction, and health and prevention services, and as a venue to share experiences in alternative development.
Executive Director Waly’s mission reaffirmed UNODC and Thailand’s strong partnership to help address the regional drug problem. Through the newly-launched Regional Programme for Southeast Asia and the Pacific 2022-2026, UNODC will continue supporting Thailand and other regional governments to respond.
Further information
UNODC’s Global Strategy 2021–2025
UNODC's Regional Programme for Southeast Asia and the Pacific
UNODC’s border management work in Southeast Asia
UNODC’s drug and precursor work in Southeast Asia
UNODC’s work on drugs, health and alternative development work in Southeast Asia
Mae Fah Luang Foundation project in Doi Tung, Chiang Rai Province
Mae Fah Luang Foundation project in Roi Jai Rak, Chiang Mai Province
This piece was originally published on UNODC.
1 of 5
เรื่อง
10 เมษายน 2022
โรงแรมไทยมุ่งมั่นสร้างความยั่งยืน
ประเทศไทยเป็นประเทศแรกที่เข้าร่วมกับยูเนสโกในปฏิญญาเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยดำเนินกิจกรรมสนับสนุนปฏิญญานี้ทั่วประเทศ ปฏิญญานี้เป็นโครงการนำร่องที่เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือระหว่างยูเนสโก และเอ็กซ์พีเดีย กรุ๊ป โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
หนึ่งปีหลังจากเปิดตัวโครงการปฏิญญายูเนสโกเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนในประเทศไทย โรงแรมกว่า 500 แห่งได้ลงนามในปฏิญญา และให้สัญญาว่าจะช่วยหยุดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว และส่งเสริมวัฒนธรรมท้องถิ่น โดยโรงแรมที่เข้าร่วมส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย
เมื่อลงนามในปฏิญญายูเนสโกเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โรงแรมที่เข้าร่วมจะต้องแบ่งปันข้อมูลว่า ธุรกิจของตนกำลังดำเนินมาตรการเพื่อสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมท้องถิ่นอะไรอยู่บ้างในปัจจุบัน และได้วางแผนว่าจะลงมือทำสิ่งใดเพิ่มเติมอีกในอนาคต
โรงแรมหลายแห่งได้แจ้งว่า พวกเขาสนับสนุนชุมชนท้องถิ่นผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ของชุมชน (46% ของโรงแรมที่ร่วมปฏิญญากำลังสนับสนุนชุมชนอยู่ ในขณะที่อีก 58% ให้สัญญาว่าจะริเริ่มการสนับสนุนเช่นนี้ในอนาคต) ในขณะที่โรงแรมขนาดใหญ่มีนโยบายที่โดดเด่นด้านการบริจาคทุนและสิ่งของให้กับชุมชนท้องถิ่น โรงแรมขนาดเล็กก็ใช้วิธีที่น่าสนใจ คืออุดหนุนชุมชนด้วยการนำสินค้าท้องถิ่นมาใช้งานและตกแต่งโรงแรม (โดย 43% ของโรงแรมที่ร่วมปฏิญญาได้มีนโยบายเช่นนี้อยู่แล้ว ในขณะที่อีก 57% วางแผนที่จะดำเนินการในอนาคต)
กระนั้น การดำเนินการบางอย่างยังสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่ยังไม่เต็มที่ ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นเพราะความยุ่งยากในการปรับวิธีการทำงานของโรงแรมบางแห่ง เช่น การลดรอบเปลี่ยนผลัดผ้าเช็ดตัวเพื่อความสะอาด หรือการเริ่มใช้ใช้ระบบไร้กุญแจ
ยูเนสโก ในฐานะผู้ร่วมดำเนินโครงการนำร่องในประเทศไทย ได้ลงทุนศึกษาวิจัยเพื่อค้นหาว่า มีผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติและงานฝีมือแบบดั้งเดิมที่ผลิตในประเทศไทยใดบ้างที่เราสามารถยกระดับ ต่อยอด และนำเสนอเป็นทางเลือกทดแทนการใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติกแบบใช้ครั้งเดีย จากการศึกษาพบว่า มีวัสดุธรรมชาติหลายชนิดที่นิยมใช้กันในครัวเรือนไทย เช่น ไม้ไผ่ ต้นกล้วย ใบตาล กะลามะพร้าว ฯลฯ แม้เป็นที่ตระหนักชัดเจนว่า ภูมิปัญญาดั้งเดิมและทักษะพื้นบ้านที่จำเป็นต่อการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์จะได้รับการสืบทอดโดยคนรุ่นใหม่น้อยลงทุกที ผลการศึกษากลับชี้ให้เห็นถึงความสนใจและความต้องการผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่เพิ่มขึ้นในหลาย ๆ ด้าน ทั้งด้านสุขภาพ สวัสดิการ อาหาร แฟชั่น การออกแบบตกแต่งภายใน และแม้กระทั่งการก่อสร้าง
ผลการศึกษายังแสดงให้เห็นว่า โรงแรมหลายแห่งสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในท้องถิ่น เช่น หลอดไม้ไผ่หรือถุงผ้าจากผักตบชวา เพื่อนำมาใช้ในโรงแรม ความร่วมมือระหว่างโรงแรมและผู้ผลิตในท้องถิ่นเช่นนี้ไม่เพียงช่วยลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวเท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้กับชุมชนท้องถิ่นอีกด้วย
ยูเนสโกร่วมสนับสนุนโครงการริเริ่มนี้อย่างที่สุด โดยหวังว่าจะสามารถสร้างความตระหนักในภัยต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว และส่งเสริมให้ชุมชนท้องถิ่นได้มีส่วนร่วมพัฒนาแนวทางปฏิบัติและภูมิปัญญาด้านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
อ่านเพิ่มเติม (อินโฟกราฟิกเกี่ยวกับปฏิญญาฉบับประเทศไทย) >>
ลงนามในปฏิญญา
อ่านต้นฉบับจากยูเนสโก
1 of 5
สิ่งพิมพ์
14 ธันวาคม 2021
การสนทนาครั้งใหญ่ คู่มือในการแก้ไขปัญหาความรุนแรง ต่อผู้หญิงในสื่อและโดยสื่อ
คู่มือเล่มนี้เป็นแนวทางสำหรับ UN และหน่วยงานอื่น ๆ ที่ทำงานร่วมกับองค์กรสื่อเพื่อส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศและป้องกันความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็กหญิง จุดมุ่งหมายของคู่มือเล่มนี้คือกาทำงาร่วมกันกับสื่อเพื่อส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศในองค์กรและการทำงานกับสื่อเพื่อเป็นเครื่องมือในการส่งเสริมคุณค่าของความหลากหลาย ความเท่าเทียมและการไม่เลือกปฏิบัติผ่านการสร้างเนื้อหาที่สื่อผลิตขึ้น คู่มือเล่มนี้ประกอบไปด้วยคำแนะนำที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้นเพื่อเป็นแนวทาง ว่าด้วย :
1) การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย
2) การส่งเสริมแนวทางเชิงบวกของสถาบัน
3) การมีส่วนร่วมกับสื่อเพื่อเปลี่ยนแปลงบรรทัดฐานทางสังคม
1 of 5
เรื่อง
10 พฤษภาคม 2022
จากแรงบันดาลใจเพื่อโอกาสที่เท่าเทียมในสังคม สู่การทำงานเพื่อสิทธิเด็ก
เจ้าหน้าที่องค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูนิเซฟ จากหลากหลายเรื่องราวชีวิต มาเล่าย้อนความหลังถึงเส้นทางในการทำงานเพื่อเด็กทุกคน
กว่า 75 ปีมาแล้วที่เจ้าหน้าที่ยูนิเซฟทุกคนได้มุ่งมั่นทำงานเพื่อช่วยให้เด็ก ๆ ทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก เอาชนะโรคร้าย ได้เข้าถึงบริการพื้นฐานที่จำเป็น ได้รับการศึกษาและพัฒนาทักษะ ได้มีชีวิตความเป็นอยู่และสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยและสะอาด ในบทความชุด “เบื้องหลังพลังยูนิเซฟ” (The Faces of UNICEF in Thailand) นี้ เราจะมาสอบถามพวกเขาถึงชีวิตทั้งด้านอาชีพการงานและส่วนตัว ที่นำพวกเขามาสู่เส้นทางของการทำงานเพื่อปกป้องสิทธิเด็กทั่วทุกแห่งหน
กว่าทศวรรษแล้วที่ผมได้ทำงานในฐานะเจ้าหน้าที่ยูนิเซฟ หลังจากที่ผมได้ทำงานที่กระทรวงศึกษาธิการมาหลายปี ผมยังรู้สึกว่าตัวเองยังพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ หนึ่งในสิ่งที่เยี่ยมมากๆ เกี่ยวกับยูนิเซฟก็คือ ยูนิเซฟเป็นองค์กรที่สนับสนุนให้ผมฟังเสียงของผู้ที่จะมาสร้างสรรค์อนาคตอย่างตั้งใจ ใกล้ชิด และเข้าใจ เพราะการฟังเสียงของคนรุ่นใหม่ด้วยใจของเรานี่แหละ ที่จะช่วยทำให้ยูนิเซฟสามารถทำงานเพื่อเด็กทุกคนอย่างมีประสิทธิภาพได้
ดร.รังสรรค์ วิบูลย์อุปถัมภ์ เจ้าหน้าที่ด้านการศึกษา องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย
ฉันได้ค้นพบพลังแห่งการแบ่งปันและช่วยเหลือผู้อื่นที่ประเทศไทย ที่ที่ฉันเติบโตขึ้นมาในวัยเด็ก และ 25 ปีให้หลัง ฉันก็ได้กลับมาทำงานเพื่อเด็กกับยูนิเซฟ ประเทศไทย มันเหมือนกับความฝันที่เป็นจริง ลูก ๆ ของฉัน ธีโอ และ เอลีส ตอนนี้ต่างก็เติบโตด้วยความฝันและความชื่นชอบนี้เช่นกัน สำหรับพวกเขาแล้ว มันคือการตอบแทนสู่สังคมและการเรียนรู้ที่จะช่วยเหลือชุมชนที่ตนอาศัยอยู่ สำหรับตัวฉันเอง มันคือการแบ่งปันสิ่งที่ตนชื่นชอบและช่วยให้ผู้อื่นได้เข้าใจถึงความแตกต่างที่พวกเขาจะลงมือสร้างขึ้นมาได้ แม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่การช่วยบรรจุสิ่งของช่วยเหลือด้านสุขอนามัยก็ตาม
เซเวอรีน เลโอนาร์ดี รองผู้อำนวยการองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย
“ผมไม่มีความฝัน เพราะตัวผมก็คือผม แค่นั้นเลย” เด็กนักเรียนคนหนึ่งบอกกับฉันตอนที่ฉันเป็นอาสาสมัครอยู่ที่ค่ายผู้ลี้ภัยแม่ลา ในจังหวัดตาก ซึ่งเป็นค่ายผู้ลี้ภัยแห่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย ฉันบอกกับตัวเองว่า “นี่มันไม่ถูกต้องเลย” ฉันเชื่อว่าทุกคนมีสิทธิที่จะมีความฝันได้ และหลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ฉันก็ไม่เคยหยุดที่จะทำงานอาสาสมัคร และบทสนทนาครั้งนั้นก็นำฉันมาสู่การทำงานกับยูนิเซฟเพื่อช่วยเหลือเด็ก ๆ ได้ไล่ตามความฝันของพวกเขา
โชติรส สุขสังวรวงศ์ เจ้าหน้าที่ผู้ช่วยฝ่ายสื่อสารองค์กร องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย
ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา ฉันได้ทำงานกับยูนิเซฟในประเด็นปัญหาหลาย ๆ ด้าน ตั้งแต่การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ การยุติความรุนแรงต่อเด็ก การพัฒนาเด็กปฐมวัย ไปจนถึงการสื่อสารในช่วงสถานการณ์ฉุกเฉิน การได้ลงพื้นที่ทำงานและได้เห็นว่ายูนิเซฟได้สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับชีวิตของเด็ก ๆ เป็นแรงบันดาลใจให้ฉันทำงานมุมานะต่อไปในทุก ๆ วัน แม้ว่าจะต้องบุกน้ำลุยโคลน มันก็คุ้มค่า
นภัทร พิศาลบุตร เจ้าหน้าที่ด้านการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและสังคม องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย
ฉันได้รับแรงบันดาลใจอย่างมากจากหลานของฉันสองคนที่อายุ 3 และ 6 ขวบ การได้เฝ้ามองพวกเขาเติบโตเป็นความสุขอย่างมาก ฉันอยากจะเป็นคุณป้าที่ดูคูล ๆ ในสายตาของพวกเขา ที่มีเรื่องราวดี ๆ มาเล่าให้พวกเขาได้ฟัง โดยเฉพาะเรื่องราวการได้ช่วยเหลือผู้อื่น และการได้เป็นส่วนหนึ่งของยูนิเซฟ องค์กรที่ช่วยเหลือเด็ก ๆ ทั่วโลก ฉันหวังว่านี่จะเป็นเรื่องราวที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับหลานตัวน้อยทั้งสองของฉัน ให้เป็นคนมีเมตตาและคอยช่วยเหลือผู้คน เมื่อพวกเขาโตขึ้น
สุวที แสนหลวง ที่ปรึกษาด้านการทำงานร่วมกับผู้มีชื่อเสียง องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย
เมื่อใดก็ตามที่ฉันต้องเผชิญความท้าทายในการชวนผู้คนตามท้องถนนมาร่วมบริจาคท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และวิกฤตเศรษฐกิจ ฉันจะคอยนึกเอาไว้เสมอว่าทำไมฉันถึงได้เข้ามาเป็นอาสาสมัครให้กับยูนิเซฟตอนที่เรียนอยู่มหาวิทยาลัย และทำไมฉันถึงได้ภูมิใจที่เป็นตัวแทนระดมทุนให้กับยูนิเซฟในวันนี้ เพื่อที่ฉันจะได้เป็นกระบอกเสียงที่เข้มแข็งเพื่อบอกกับผู้คนว่าเขาสามารถมีส่วนร่วมสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับเด็ก ๆ ในทุก ๆ ที่ได้อย่างไร
พนัชกร เมืองฟัก เจ้าหน้าที่ระดมทุน องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย
อ่านต้นฉบับจากยูนิเซฟ ประเทศไทย
Tags: #youth #childrights #thailand
1 of 5
เรื่อง
25 เมษายน 2022
'โตมายังไง?' 4 ประเทศกับนโยบายที่ดี
รีวิวเบ้าหลอมทางสังคมจาก 4 ประเทศที่พัฒนาได้เพราะมีนโยบายดี
เยาวชนคืออนาคตของชาติ แต่ปัจจุบันยังมีเยาวชนไทยที่ไม่อยู่ในระบบการศึกษาถึง 1.1 ล้านคน มีเยาวชนเสียชีวิตจากการจมน้ำเฉลี่ยวันละ 2 คน และยังมีเยาวชนที่อยู่ในกลุ่มเปราะบางมากถึง 7.3 ล้านคน
อัตราเด็กแรกเกิดช่วงปีที่ผ่านมาลดลงมากจนแตะจุดต่ำสุดในประวัติศาสตร์ นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของประเทศไทยที่กำลังจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุที่มีคนรุ่นใหม่น้อย และคนรุ่นใหม่จำนวนหนึ่งอาจเอาตัวรอดได้ยากขึ้น เพราะโครงสร้างและความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่ถ่างกว้างขึ้นทุกวัน
แต่เชื่อไหมว่าเราสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ให้ดีขึ้นได้ด้วยนโยบายที่มีมนุษย์เป็นศูนย์กลาง…
ถ้าน้องเอสเกิดในประเทศเอสโตเนีย – ระบบ e-government ของรัฐบาลจะคำนวณให้เลยว่าเมื่อน้องเอสถึงวัยต้องเข้าโรงเรียน โรงเรียนไหนจะใกล้บ้านที่สุด และระบบจะให้กำหนดให้เข้าเรียนที่โรงเรียนนั้นแบบอัตโนมัติ สถานศึกษาที่ประเทศเอสโตเนียทุกแห่งให้ความสำคัญตั้งแต่ในวัยอนุบาล สิ่งที่เด็กเอสโตเนียทุกคนจะได้ฝึกฝนตั้งแต่เล็กเลยก็คือ การเข้าสังคม ความกล้าหาญในการแสดงออก และความมั่นใจในการยกมือถามเมื่อเกิดความสงสัย โดยเน้นการเรียนรู้ผ่านการเล่นที่มีครูเป็นส่วนสำคัญ เพื่อเตรียมความพร้อมทั้งทางด้านอารมณ์และร่างกาย
ถ้าน้องไลอ้อนเกิดในประเทศสิงคโปร์ – จะได้อยู่ในครอบครัวที่มีเวลาสำหรับสร้างเสริมพัฒนาการอย่างเต็มที่ เพราะนอกจากจะมีโครงสร้างพื้นฐานในประเทศที่ดีแล้ว หน่วยงาน Innovation Lab ที่ทำงานใกล้ชิดกับภาครัฐยังได้สร้างแอปพลิเคชั่น Moments of Life ขึ้นมาเอาไว้อำนวยความสะดวกผู้ปกครอง ทำได้ตั้งแต่การแจ้งเกิด ดูสิทธิพิเศษที่จะได้รับจากรัฐบาล ค้นหาศูนย์เลี้ยงเด็ก หรือแม้กระทั่งเอาไว้เช็คว่าลูกๆ ได้รับวัคซีนครบแล้วหรือยัง แอปพลิเคชันนี้จะช่วยลดความเครียดของพ่อแม่ที่มักเกิดมาจากความวุ่นวายในชีวิตที่ต้องจัดการกับเอกสารหลายอย่าง Innovation Lab ยังได้ดึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถึง 15 แห่งให้มาอยู่ในแอปฯ เพื่อคอยบริการแบบที่เดียวครบ ที่ทำแบบนี้ได้เพราะวางเป้าไว้ตั้งแต่แล้วว่า “ต้องเข้าใจว่าผู้ใช้งานต้องการอะไร”
ถ้าน้องอิ๊งเกิดในสหราชอาณาจักร – จะได้อยู่ในระบบการศึกษาที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาเพื่อพัฒนาให้เข้ากับยุคสมัย และคุ้มครองทั้งเด็กนักเรียนและบุคลากรในโรงเรียนที่ถือว่าเป็นฟันเฟืองสำคัญในการผลักดันคุณภาพการศึกษาให้ดียิ่งขึ้น ล่าสุดเพิ่งมีการเปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในแคมเปญ Keeping Children Safe in Education โดยพลเมืองในประเทศมีสิทธิเข้าไปอ่านร่างการแก้ไขพระราชบัญญัติการศึกษา หรือให้คำแนะนำต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการปรับปรุง สะท้อนให้เห็นได้ชัดเลยว่าเสียงและความต้องการของประชาชนเป็นเรื่องสำคัญมากกว่าความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย หรือตำแหน่งทางราชการซึ่งแท้จริงแล้วควรเป็นคนทำงานเพื่อสร้างงานบริการที่ดีในนามของรัฐ
ถ้าน้องเคเกิดในประเทศเกาหลีใต้ – พ่อกับแม่ของน้องจะได้รับค่าเลี้ยงดูทันทีจากรัฐบาลประมาณ 8,000 บาทเป็นระยะเวลา 1 ปี และจะเพิ่มเป็น 13,500 ในปี ค.ศ. 2025 พร้อมโบนัสเสริมสำหรับค่าใช้จ่ายในการคลอดอีก 54,000 บาท พ่อแม่มือใหม่ยังสามารถใช้สิทธิการลาคลอดพร้อมรับค่าเลี้ยงดูเพิ่มได้อีกประมาณ 80,000 บาท เพื่อให้มั่นใจว่าพ่อแม่จะมีเวลาเลี้ยงลูกได้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อพัฒนาการที่สมบูรณ์ น้องเคยังได้อยู่ในระบบ “การจัดการศึกษาและการดูแลเด็กเล็ก” ที่รัฐบาลเพิ่มเงินลงทุนในระบบนี้ถึง 10 เท่าตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 โดยจัดให้เพิ่มพื้นที่สำหรับการเรียนรู้โดยใช้การเล่น กีฬา และศิลปะ เข้ามาช่วยพัฒนาความรู้ความเข้าใจด้านอารมณ์ สร้างความมั่นใจในตัวเอง และสร้างสังคมแห่งความสุขให้กับเด็กๆ ซึ่งควรทำตั้งแต่อายุยังน้อยเพื่อพัฒนาการที่ดีเมื่อเติบใหญ่
ทั้งหมดนี้เพื่อต้องการให้สะท้อนเห็นภาพ และถอดบทเรียนจากประเทศอื่นว่า หากเยาวชนคนหนึ่งเติบโตมาในประเทศไทย เราควรจะมีนโยบายอะไรบ้างที่เอื้อต่อการเติบโตของพวกเขา
อ่านต้นฉบับจาก Thailand Policy Lab (ห้องปฏิบัติการนโยบาย ก่อตั้งโดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน)
Tags: #education #policy #population #youth
1 of 5
เรื่อง
22 เมษายน 2022
ยูเอ็น-กูเกิล เปิดให้บริการสืบค้นข้อมูลโลกร้อนออนไลน์
วิทยาศาสตร์ วิธีการแก้ปัญหา และความสามัคคี
เพื่อโลกที่น่าอยู่
วิกฤตโลกร้อนทำให้คนทั้งโลกหันมาหาข้อมูลเรื่อง “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” (climate change) องค์การสหประชาชาติจึงจับมือกับกูเกิล พัฒนาแหล่งข้อมูลด้านสภาพอากาศและความยั่งยืนที่เชื่อถือได้ เข้าใจง่าย ใน 12 ภาษา รวมทั้งภาษาไทย พร้อมสิ่งที่ทุกคนทำได้ในชีวิตประจำวันเพื่อแก้ไขวิกฤตนี้
เมลิสสา เฟลมิง รองเลขาธิการสหประชาชาติด้านการสื่อสารระดับโลก กล่าวว่า “เรายินดีที่ได้ร่วมมือกับกูเกิลเพื่อกระจายข้อมูลที่เป็นจริงและเชื่อถือได้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศไปยังผู้คนให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ทั่วโลก ข้อมูลเท็จที่แพร่ระบาดอย่างหนักในทุกวันนี้บั่นทอนความก้าวหน้าและความเข้าใจในประเด็นเร่งด่วนมากมาย รวมถึงเรื่องสภาพภูมิอากาศด้วย สิ่งที่สำคัญที่สุด ณ วินาทีนี้คือการทำให้เนื้อหาที่ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์เรื่องสภาพภูมิอากาศ ขึ้นมาเป็นผลลัพธ์อันดับแรกสุดของการสืบค้นข้อมูล
ก่อนหน้านี้ นายอันโตนิอู กุแตเรซ เลขาธิการสหประชาชาติเรียกร้องในรายงานประจำปี 2564 เรื่อง “Our Common Agenda” ให้ทุกฝ่ายเร่งแก้ไข “ภาวะข้อมูลระบาด” ที่รุมเร้าโลกด้วยข้อมูลเท็จ และเสนอให้วางหลักจรรยาบรรณระดับโลกเพื่อส่งเสริมความถูกต้องสมบูรณ์ของข้อมูล ข้อเท็จจริง และหลักวิทยาศาสตร์ในการสื่อสารสาธารณะ
กูเกิลมองว่าฟีเจอร์การสืบค้นคือหัวใจในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้คนเข้าใจและลดผลกระทบจากชีวิตประจำวันต่อสิ่งแวดล้อม ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมามีการเปิดตัวฟีเจอร์ข้อมูลด้านสภาพภูมิอากาศในสามภาษา คริส ลาโรซา ผู้จัดการอาวุโสด้านผลิตภัณฑ์ของกูเกิล กล่าวว่า “ยอดการค้นข้อมูลจากทั่วโลกเกี่ยวกับ ‘การสร้างความยั่งยืน’ (how to be sustainable) พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ในปีนี้ และกูเกิลเชื่อว่าเทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญในการสร้างอนาคตที่ปลอดคาร์บอน และเราอยากช่วยให้ผู้คนได้เลือกทำสิ่งที่ยั่งยืนมากขึ้นในทุก ๆ วัน”
หลังจากที่เนื้อหาด้านสภาพภูมิอากาศขององค์การสหประชาชาติได้เปิดตัวมาแล้วในภาษาอังกฤษ, ฝรั่งเศส และสเปน เมื่อปีก่อน ขณะนี้กูเกิล เสิร์ช พร้อมแสดงผลในภาษาไทย, อาหรับ, จีน, อินโดนีเซีย, อิตาลี, ญี่ปุ่น, โปรตุเกส, รัสเซีย และเวียดนาม พร้อมข้อมูลอธิบายถึงสาเหตุและผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งวิธีการลดผลกระทบจากวิกฤตการณ์ด้านสภาพอากาศที่โลกของเรากำลังเผชิญ
1 of 5
เรื่อง
17 เมษายน 2022
การต่อต้านข่าวปลอมเรื่องโควิดที่องค์การสหประชาชาติได้ทำสำเร็จมาแล้ว และยังคงทำต่อไป ทั้งการสร้างระบบ Chat bot ตอบเรื่องโควิดที่ถูกต้อง, บริการ Hotline 5 ภาษา เพื่อแรงงานข้ามชาติในไทย และโครงการ #ShareVerified (อย่าแชร์แค่เชื่อว่าจริง)
จะรับมืออย่างไร เมื่อข้อมูลโควิด-19 ที่คลาดเคลื่อน แพร่ระบาดยิ่งกว่าไวรัสเอง? ไวรัสโควิด-19 ติดซ้ำได้ไหม? หายแล้วต้องทำอย่างไรก่อนไปฉีดเข็มกระตุ้น? บทเรียนสำคัญในการต่อสู้กับโรคระบาดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา คือการให้ข้อมูลที่ไม่เป็นจริง ข่าวลือ ข่าวปลอม หรือข้อมูลที่สร้างความสับสน และมีการส่งต่ออย่างกว้างขวางบนสังคมออนไลน์ ทำให้เสียโอกาสไปมากในการแก้ไขสถานการณ์โรคระบาด
▶ ตรวจสอบความน่าเชื่อถือ และแชร์ข้อมูลโรคระบาดให้เข้าใจง่าย
▶ แหล่งข่าว และการเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้อง
▶ เมื่อรู้ทันแล้วจะรับมือกับข่าวปลอมได้อย่างไร?
"ความกลัว ความไม่แน่นอน กระแสข่าวลือและข่าวปลอม เกิดขึ้นตั้งแต่เริ่มพบการระบาดของไวรัส” คำอธิบายของ เมลิซา เฟลมมิ่ง (Melissa Fleming) หัวหน้าฝ่ายสื่อสาร (Department of Global Communications) ประจำองค์การสหประชาชาติ ต่อปัญหาของข้อมูลที่บิดเบือน (misinformation) ที่อาจส่งผลต่อการรับมือและป้องกันไวรัสโควิด-19 ในปัจจุบัน
องค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO) ระบุว่าใน 3 เดือนแรกหลังเชื้อโควิด-19ระบาดเมื่อปี 2563 มีผู้คนกว่า 6,000 คนที่ขาดความรู้ความเข้าใจในโรคระบาดใหม่จนติดเชื้อโควิด-19 และต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล จนมาถึงปัจจุบันที่โซเชียลมีเดียการส่งต่อข่าวสารเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว ยิ่งเอื้อให้ข้อมูลที่บิดเบือนแพร่กระจายออกเป็นวงกว้างมากยิ่งขึ้น ขณะที่ดร.ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส (Dr. Tedros Adhanom Ghebreyesus) ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก เตือนถึงอันตรายในการสรุปเอาเองว่าไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนจะเป็นโควิดสายพันธุ์สุดท้าย และยังเร็วเกินไปที่ประเทศต่าง ๆ จะยุติความพยายามที่จะควบคุมการแพร่ระบาดของโรค
ดังนั้นการคัดกรองและตรวจสอบข้อมูลจึงถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก เพราะนอกจากจะช่วยให้ตัวเราเองรับมือกับโควิด-19 ได้อย่างถูกต้อง ยังลดความเสี่ยงในการส่งต่อข้อมูลที่บิดเบือน จนส่งผลกระทบต่อผู้อื่นอีกได้อีกหลายทอด ปัจจุบันวิธีการตรวจสอบเพื่อให้ได้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องนั้นมีหลากหลายวิธี ดังต่อไปนี้
ตรวจสอบความน่าเชื่อถือ และแชร์ข้อมูลโรคระบาดให้เข้าใจง่าย
หลังจากมีการประกาศให้ไวรัสโควิด-19 เป็นโรคระบาดครั้งใหญ่ของโลก (pandemic) อย่างเป็นทางการ องค์การอนามัยโลก (WHO) ถือเป็นหน่วยงานหลักของสหประชาชาติที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับไวรัสมาอย่างต่อเนื่อง และเชื่อถือได้
เริ่มตั้งแต่จัดทำรายงานความคืบหน้าสถานการณ์โควิด-19 ประจำสัปดาห์ในประเทศไทย ซึ่งยังคงให้ข้อมูลและวิเคราะห์แนวโน้มการระบาด การรักษา การป้องกัน ทั้งในระดับประเทศและชุมชน โดยประสานข้อมูลร่วมกับศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) รวมทั้งเผยแพร่การปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันโควิดอย่างง่าย ๆ ผ่านโซเชียลมีเดีย
นอกจากนี้ ยังมีการจัดตั้งเครือข่ายข้อมูลสำหรับโรคระบาด (EPI-WIN) นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับโควิด-19 โดยอ้างอิงจากการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์ และระดมอาสาสมัครดิจิทัลกว่า 10,000 คน เสริมทีมตรวจสอบและแก้ไขข้อมูลที่บิดเบือนป้องกันความสับสนให้กับผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียทั่วโลก
เช่นเมื่อมีการรายงานผู้ป่วยโรคโควิด-19 ครั้งแรกในประเทศหนึ่งในทวีปแอฟริกา ชุมชนบางแห่งของประเทศนั้นเชื่อว่าไวรัสเกิดจากสิ่งชั่วร้าย จึงได้ทำพิธีกรรมขับไล่ โดยที่คนในหมู่บ้านเชื่อว่าสิ่งนี้เป็นฝีมือการทำงานของคนจากภูมิภาคอื่น ความหวาดระแวงกลายเป็นความขัดแย้ง รัฐบาลของประเทศนั้นจึงร่วมมือกับองค์การอนามัยโลกนำข้อมูลที่ถูกต้องมาแปลเป็นภาษาท้องถิ่นเพื่อสร้างความตระหนักรู้ให้กับประชาชน จนสุดท้ายข้อมูลที่บิดเบือนและความขัดแย้งก็ถูกขจัดไปในที่สุด
แหล่งข่าว และการเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้อง
สหประชาชาติจับมือหลายภาคส่วน สู้ข่าวปลอมและการกระจายข้อมูลผิด ๆ ในช่วงโควิด ตั้งแต่ผู้นำชุมชนไปจนถึงพันธมิตรทางโซเชียลมีเดียและบริการค้นหาระดับโลก อย่าง Google, Twitter, TikTok และ wikiHow ด้าน Facebook ก็ได้ปรับอัลกอริธึมเพื่อให้ความสำคัญกับข้อมูลทางการแพทย์จากแหล่งข่าวที่เป็นทางการ ซึ่งรวมทั้งจากกระทรวงสาธารณสุข และสหประชาชาติในไทย ส่วนความร่วมมือกับ Rakuten Viber เป็นการเปิดตัว ‘แชทบ็อต’ แบบโต้ตอบอัตโนมัติถึง 20 ภาษา มีผู้ใช้งานค้นหาข้อมูลเรื่องโควิดแล้วกว่า 1 พันล้านคน >> เข้าร่วมระบบแชทบ็อตบนไวเบอร์
นอกจากนี้ ยังมีบริการแจ้งเตือนบน WhatsApp พร้อมให้ข้อมูลการวิจัยใหม่และคำแนะนำ ตั้งแต่ประเด็นการติดเชื้อซ้ำจากไวรัสสายพันธุ์โอมิครอน หรือเรื่องไวรัสกลายพันธุ์ และวัคซีนเข็มกระตุ้นกับหญิงตั้งครรภ์ >> เริ่มต้นบนสนทนาบนวอตส์แอปป์
ไม่เพียงเท่านั้น องค์การอนามัยโลก สหภาพโทรคมนาคมนานาชาติ (International Telecommunication Union: ITU) และองค์การยูนิเซฟ (United Nations Children's Fund: UNICEF) ซึ่งเป็น 3 หน่วยงานของสหประชาชาติ ร่วมมือกับเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ ส่งข่าวสารเรื่องโควิดให้ผู้คน รวมทั้งผู้ที่ไม่สามารถใช้งานสื่อออนไลน์ให้ได้รับข้อมูล เป้าหมายมากกว่า 3.6 พันล้านคน
ส่วนองค์การยูเนสโกก็ทำงานอย่างใกล้ชิดกับสื่อมวลชนในหลายประเทศ เสริมทักษะ สร้างความรู้ ชี้แนะแหล่งข่าวเพื่อการทำงานอย่างปลอดภัย ตั้งแต่ช่วงแรกที่โควิดแพร่ระบาด มีการจัดคอร์สออนไลน์อบรมการรายงานข่าว ตรวจหาเฟคนิวส์ประเด็นโควิดโดยมีสื่อมวลชนจากทั่วโลกกว่า 9,000 คน เข้าร่วมแล้ว
ส่วนในไทย องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (International Organization for Migration: IOM) องค์การเพื่อการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศและเพิ่มพลังของผู้หญิงแห่งสหประชาชาติ (UN Women) และองค์การอนามัยโลก ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางและแรงงานข้ามชาติด้วยการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลออนไลน์ให้คำปรึกษาและสายด่วนด้านสุขภาพถึง 5 ภาษา (พม่า, ลาว, กัมพูชา, ไทย และอังกฤษ) เพื่อกระจายข่าวสารอย่างทั่วถึง โดยตลอดปี 2564 ข้อมูลด้านโควิด-19 ของสหประชาชาติเข้าถึงผู้ใช้โซเชียลมีเดียในไทยมากถึง 25 ล้านคน
เมื่อปี 2563 ประเทศไทยเป็นประเทศท่ี 2 ถัดจากจีนที่มีรายงานพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ส่ิงที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นคือการตอบสนองระดับชาติอย่างรวดเร็วจนประสบความสำเร็จในการลดยอดผู้ติดเชื้อ และรักษาอัตราการเสียชีวิตให้อยู่ในระดับต่ำ ที่ผ่านมา สหประชาชาติได้ร่วมมือกับกระทรวงต่าง ๆ ที่เก่ียวข้องเพื่ออำนวยความสะดวกในการประเมินผลกระทบของการระบาดใหญ่ที่มีต่อทุกภาคส่วน ขณะท่ีทีมงานสหประชาชาติในไทยก็ได้จัดทำกรอบความร่วมมือว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน วาระปี พ.ศ. 2565 - 2569 (United Nations Sustainable Development Cooperation Framework: UNSDCF) เป็นกรอบที่เเสดงถึงการทำงานของระบบสหประชาชาติเพื่อการพัฒนาในการสนับสนุนการดำเนินตามพันธกรณีของประเทศให้บรรลุผลสำเร็จตามวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน สอดคล้องกับสถานการณ์โควิด-19 รวมถึงสนับสนุนความมุ่งหมายของประเทศไทยในการเป็นประเทศที่มีรายได้สูง มีการพัฒนาที่ครอบคลุม ยั่งยืน มีภูมิคุ้มกัน และมีความก้าวหน้า
เมื่อรู้ทันแล้วจะรับมือกับข่าวปลอมได้อย่างไร?
ทุกคนสามารถร่วมต่อต้านข้อมูลเกี่ยวกับไวรัสโควิด-19 ที่บิดเบือน (combat misinformation) โดยสหประชาชาติเร่งขยายโครงการ ShareVerified ไปทั่วโลกเพื่อป้องกันผลเสียจากข้อมูลเท็จ รวมทั้งมีการเปิดคอร์สออนไลน์ สอนวิธีตรวจสอบข้อมูลและยับยั้งเฟคนิวส์ >> ดูรายละเอียดเพิ่มเติมและสมัครเรียนออนไลน์
สิ่งสำคัญคือการให้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และงานวิจัยที่ถูกต้องน่าเชื่อถือสู่สาธารณะ ลดความเสียหายจากโรคระบาดที่อาจจะเกิดขึ้นจากกระแสข่าวลือ ข่าวปลอม และเมื่อเร็ว ๆ นี้ มีการเปิดตัว การสำรวจภาคประชาสังคมทั่วโลกเกี่ยวกับโควิด-19 มีองค์กรกว่า 1,900 แห่งทั่วโลก เข้าร่วมในการรายงานสถานการณ์โควิด-19 รวมทั้งปัญหาและข้อมูลบิดเบือนที่พบบ่อย และวิธีการแก้ปัญหาในแต่ละครั้ง โดยผู้ที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่นี่ นอกจากนี้ การเตรียมพร้อมให้เยาวชนรู้ทันข้อมูลข่าวสารเพื่อเป็นนักเคลื่อนไหวทางสังคมที่ดีได้ในอนาคตก็สำคัญ เช่นการเสริมทักษะในเรื่องโซเชียลมีเดียควบคู่ไปกับการสอนเรื่องสิทธิขั้นพื้นฐานบนโลกออนไลน์ สำนักงานผู้แทนพิเศษเลขาธิการสหประชาชาติด้านเยาวชนจึงร่วมกับ Twitter จัดทำ 'คู่มือความปลอดภัยทางดิจิทัลและการปกป้องคนหนุ่มสาวออนไลน์' (Youth Activist Checklist: Guidance on Digital Safety and Online Protection of Young People) ความยาวเพียง 5 หน้า แต่เป็น ‘ชุดเครื่องมือ’ ช่วยให้ใช้สื่อออนไลน์ได้อย่างมั่นใจมากขึ้น >> ดาวน์โหลด Youth Activist Checklist
Tags: #COVID19 #โควิด19 #PledgeToPause #ShareVerifiedอย่าแชร์แค่เชื่อว่าจริง #Songkran #สงกรานต์
1 of 5
เรื่อง
21 เมษายน 2022
4 ประเทศกับนโยบายที่ดี
'โตมายังไง?' รีวิวเบ้าหลอมทางสังคมจาก 4 ประเทศที่พัฒนาได้เพราะมีนโยบายดี
เยาวชนคืออนาคตของชาติ แต่ปัจจุบันยังมีเยาวชนไทยที่ไม่อยู่ในระบบการศึกษาถึง 1.1 ล้านคน มีเยาวชนเสียชีวิตจากการจมน้ำเฉลี่ยวันละ 2 คน และยังมีเยาวชนที่อยู่ในกลุ่มเปราะบางมากถึง 7.3 ล้านคน
อัตราเด็กแรกเกิดช่วงปีที่ผ่านมาลดลงมากจนแตะจุดต่ำสุดในประวัติศาสตร์ นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของประเทศไทยที่กำลังจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุที่มีคนรุ่นใหม่น้อย และคนรุ่นใหม่จำนวนหนึ่งอาจเอาตัวรอดได้ยากขึ้น เพราะโครงสร้างและความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่ถ่างกว้างขึ้นทุกวัน
แต่เชื่อไหมว่าเราสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ให้ดีขึ้นได้ด้วยนโยบายที่มีมนุษย์เป็นศูนย์กลาง…
ถ้าน้องเอสเกิดในประเทศเอสโตเนีย – ระบบ e-government ของรัฐบาลจะคำนวณให้เลยว่าเมื่อน้องเอสถึงวัยต้องเข้าโรงเรียน โรงเรียนไหนจะใกล้บ้านที่สุด และระบบจะให้กำหนดให้เข้าเรียนที่โรงเรียนนั้นแบบอัตโนมัติ สถานศึกษาที่ประเทศเอสโตเนียทุกแห่งให้ความสำคัญตั้งแต่ในวัยอนุบาล สิ่งที่เด็กเอสโตเนียทุกคนจะได้ฝึกฝนตั้งแต่เล็กเลยก็คือ การเข้าสังคม ความกล้าหาญในการแสดงออก และความมั่นใจในการยกมือถามเมื่อเกิดความสงสัย โดยเน้นการเรียนรู้ผ่านการเล่นที่มีครูเป็นส่วนสำคัญ เพื่อเตรียมความพร้อมทั้งทางด้านอารมณ์และร่างกาย
ถ้าน้องไลอ้อนเกิดในประเทศสิงคโปร์ – จะได้อยู่ในครอบครัวที่มีเวลาสำหรับสร้างเสริมพัฒนาการอย่างเต็มที่ เพราะนอกจากจะมีโครงสร้างพื้นฐานในประเทศที่ดีแล้ว หน่วยงาน Innovation Lab ที่ทำงานใกล้ชิดกับภาครัฐยังได้สร้างแอปพลิเคชั่น Moments of Life ขึ้นมาเอาไว้อำนวยความสะดวกผู้ปกครอง ทำได้ตั้งแต่การแจ้งเกิด ดูสิทธิพิเศษที่จะได้รับจากรัฐบาล ค้นหาศูนย์เลี้ยงเด็ก หรือแม้กระทั่งเอาไว้เช็คว่าลูกๆ ได้รับวัคซีนครบแล้วหรือยัง แอปพลิเคชันนี้จะช่วยลดความเครียดของพ่อแม่ที่มักเกิดมาจากความวุ่นวายในชีวิตที่ต้องจัดการกับเอกสารหลายอย่าง Innovation Lab ยังได้ดึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถึง 15 แห่งให้มาอยู่ในแอปฯ เพื่อคอยบริการแบบที่เดียวครบ ที่ทำแบบนี้ได้เพราะวางเป้าไว้ตั้งแต่แล้วว่า “ต้องเข้าใจว่าผู้ใช้งานต้องการอะไร”
ถ้าน้องอิ๊งเกิดในสหราชอาณาจักร – จะได้อยู่ในระบบการศึกษาที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาเพื่อพัฒนาให้เข้ากับยุคสมัย และคุ้มครองทั้งเด็กนักเรียนและบุคลากรในโรงเรียนที่ถือว่าเป็นฟันเฟืองสำคัญในการผลักดันคุณภาพการศึกษาให้ดียิ่งขึ้น ล่าสุดเพิ่งมีการเปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในแคมเปญ Keeping Children Safe in Education โดยพลเมืองในประเทศมีสิทธิเข้าไปอ่านร่างการแก้ไขพระราชบัญญัติการศึกษา หรือให้คำแนะนำต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการปรับปรุง สะท้อนให้เห็นได้ชัดเลยว่าเสียงและความต้องการของประชาชนเป็นเรื่องสำคัญมากกว่าความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย หรือตำแหน่งทางราชการซึ่งแท้จริงแล้วควรเป็นคนทำงานเพื่อสร้างงานบริการที่ดีในนามของรัฐ
ถ้าน้องเคเกิดในประเทศเกาหลีใต้ – พ่อกับแม่ของน้องจะได้รับค่าเลี้ยงดูทันทีจากรัฐบาลประมาณ 8,000 บาทเป็นระยะเวลา 1 ปี และจะเพิ่มเป็น 13,500 ในปี ค.ศ. 2025 พร้อมโบนัสเสริมสำหรับค่าใช้จ่ายในการคลอดอีก 54,000 บาท พ่อแม่มือใหม่ยังสามารถใช้สิทธิการลาคลอดพร้อมรับค่าเลี้ยงดูเพิ่มได้อีกประมาณ 80,000 บาท เพื่อให้มั่นใจว่าพ่อแม่จะมีเวลาเลี้ยงลูกได้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อพัฒนาการที่สมบูรณ์ น้องเคยังได้อยู่ในระบบ “การจัดการศึกษาและการดูแลเด็กเล็ก” ที่รัฐบาลเพิ่มเงินลงทุนในระบบนี้ถึง 10 เท่าตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 โดยจัดให้เพิ่มพื้นที่สำหรับการเรียนรู้โดยใช้การเล่น กีฬา และศิลปะ เข้ามาช่วยพัฒนาความรู้ความเข้าใจด้านอารมณ์ สร้างความมั่นใจในตัวเอง และสร้างสังคมแห่งความสุขให้กับเด็กๆ ซึ่งควรทำตั้งแต่อายุยังน้อยเพื่อพัฒนาการที่ดีเมื่อเติบใหญ่
ทั้งหมดนี้เพื่อต้องการให้สะท้อนเห็นภาพ และถอดบทเรียนจากประเทศอื่นว่า หากเยาวชนคนหนึ่งเติบโตมาในประเทศไทย เราควรจะมีนโยบายอะไรบ้างที่เอื้อต่อการเติบโตของพวกเขา
อ่านต้นฉบับจาก Thailand Policy Lab
1 of 5
ข่าวประชาสัมพันธ์
12 ตุลาคม 2021
โกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย-UN รวมพลังเอกชน ประกาศเจตนารมณ์ สู้วิกฤตโลกร้อน ตั้งเป้า Net Zero ภายใน ค.ศ. 2050 หรืออย่างช้าที่สุดไม่เกิน ค.ศ. 2070
กรุงเทพฯ - สมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย ร่วมกับสหประชาชาติ จัดงาน ‘GCNT Forum 2021: Thailand’s Climate Leadership Summit 2021’ ภายใต้แนวคิด ‘A New Era of Accelerated Actions’ รวมพลังองค์กรสมาชิกสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กฯ ร่วมประกาศเจตนารมณ์ว่าด้วย “การป้องกันและแก้ไขปัญหาอันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” ในการดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบและช่วยบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ เน้นไปที่การใช้มาตรการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจังและวัดผลได้ รวมถึงการพัฒนาแหล่งกักเก็บคาร์บอน และการส่งเสริมพฤติกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของภาคีเครือข่ายและผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน โดยมีนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นประธานเปิดงาน ร่วมด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศไทยเป็นสักขีพยานในพิธีประกาศเจตนารมณ์ พร้อมผู้นำจากหลากหลายองค์กรร่วมแสดงวิสัยทัศน์ แลกเปลี่ยนแนวคิดและประสบการณ์ที่เกี่ยวข้อง เป็นการส่งสัญญาณว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นประเด็นสำคัญและเร่งด่วน ที่ทุกภาคส่วนพร้อมมีส่วนร่วมผลักดันและส่งเสริมให้ภาคธุรกิจเป็นผู้นำสร้างการเปลี่ยนแปลงในเรื่องนี้
โดยองค์กรสมาชิกของสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นองค์กรธุรกิจชั้นนำจากธุรกิจที่หลากหลาย ทั้งด้านเกษตร-อาหาร พลังงาน การเงิน เทคโนโลยี และอุตสาหกรรมทั่วไป ได้ร่วมกันประกาศเจตนารมณ์ ว่าด้วยการป้องกันและแก้ไขปัญหาอันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นับเป็นครั้งแรกที่ภาคเอกชนทุกธุรกิจ ทุกขนาด ของไทยตั้งเป้าหมายร่วมกันในเรื่องนี้อย่างชัดเจนและจริงจัง ที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายใน ค.ศ. 2050 หรืออย่างช้าที่สุดไม่เกิน ค.ศ. 2070 โดยจะร่วมมือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน เพิ่มมาตรการเพื่อรับมือกับปัญหาอันเกิดจากการ เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นสถานการณ์วิกฤต (Climate Emergency) รวมทั้งวัดผลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Measure GHG Emissions) จากการประกอบธุรกิจของตนเอง เพื่อรับรู้และหาวิธีการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ยังคงมีอยู่ พร้อมเปิดเผยข้อมูลเหล่านี้ ต่อสาธารณะเป็นประจำ ตลอดจนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเต็มที่ (Take Action to Reduce GHG Emissions) โดยมุ่งมั่นที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเพิ่มแหล่งกักเก็บคาร์บอน พร้อมทั้งส่งเสริมพฤติกรรมที่เป็นมิตร ต่อสิ่งแวดล้อมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน ซึ่งการประกาศเจตนารมณ์ในครั้งนี้ จะช่วยผลักดันให้ภาคธุรกิจอื่นๆ ลุกขึ้นมาเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง ปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจดั้งเดิมไปสู่ธุรกิจหมุนเวียนตลอดห่วงโซ่อุปทาน รวมถึงส่งเสริมการบูรณาการงานด้านภูมิอากาศ การวิจัยและพัฒนานวัตกรรมและผลิตภัณฑ์สินค้าใหม่ๆ ที่ปล่อยคาร์บอนต่ำหรือเป็นศูนย์ สอดคล้องตามนโยบายพัฒนาประเทศ
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “บทบาทผู้นำ มุ่งสู่การลงมือแก้ปัญหาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” ย้ำความเร่งด่วนในการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศโลก ว่าปัญหานี้นับวันจะทวีความรุนแรงและความเร่งด่วนยิ่งขึ้น โดยกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนาที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ได้พยายามผลักดันให้ประเทศต่าง ๆ กำหนดเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ และเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ซึ่งแม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นการตั้งเป้าโดยประเทศพัฒนาแล้ว อาทิ สหภาพยุโรป สหราชอาณาจักร และสหรัฐฯ แต่ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาเองก็ได้พยายามตั้งเป้าเช่นกัน อาทิ เกาหลีใต้กำหนดว่าจะเป็นกลางทางคาร์บอนในปี ค.ศ. 2050 ส่วนจีนคาดว่าจะบรรลุในปี ค.ศ. 2060นอกจากนี้ เพื่อนบ้านไทยในอาเซียน เช่น อินโดนีเซีย และเวียดนาม ได้กำหนดเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์แล้ว โดยอินโดนีเซียตั้งเป้าในปี ค.ศ. 2070 และเวียดนามคาดว่า จะบรรลุได้ในปี ค.ศ. 2060 ไทยจึงต้องร่วมมือกับประชาคมโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหา climate change โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการลดและควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีที่ค่อนข้างสูงเพื่อปรับเปลี่ยนแนวทางการผลิตและพฤติกรรมการบริโภค ซึ่งมักส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อประเทศกำลังพัฒนา รวมถึงประเทศไทยด้วยเช่นกัน
ที่ผ่านมา ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมทำให้เกิดกระแสต่อต้านสินค้าบางประเภทแล้ว เช่น กรณีการต่อต้านน้ำมันปาล์มที่ผลิตในอินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย ในสหภาพยุโรป เนื่องจากเห็นว่า การปลูกปาล์มทำให้เกิดการบุกรุกพื้นที่ป่ามากขึ้น และปัจจุบัน อียูอยู่ระหว่างร่างระเบียบมาตรการการปรับคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน หรือที่เรียกกันว่า CBAM (ซีแบม) ซึ่งอาจกลายเป็นรูปแบบหนึ่งของมาตรการกีดกันทางการค้า ทั้งนี้ คาดว่ามาตรการดังกล่าวจะเริ่มบังคับใช้ในปี 2566 ครอบคลุมสินค้า 5 ประเภท ได้แก่ ซีเมนต์ พลังงานไฟฟ้า ปุ๋ย เหล็กและเหล็กกล้า และอะลูมิเนียม และมีแนวโน้มที่จะขยายไปยังสินค้าอื่น ๆ ในอนาคต ขณะเดียวกัน เริ่มมีกระแสในสหรัฐฯ และแคนาดาที่อาจพิจารณาใช้มาตรการในลักษณะคล้ายคลึงกันด้วย แม้ว่าหลายประเทศเห็นว่า CBAM น่าจะขัดต่อกฎเกณฑ์ของ WTO และอาจต้องมีการฟ้องร้องกัน แต่ไทยจำเป็นต้องตระหนักว่า การฟ้องร้องใน WTO จะเริ่มขึ้นภายหลังมีการประกาศใช้มาตรการดังกล่าวแล้ว และใช้เวลานานหลายปี ดังนั้น ไทยจึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากมาตรการนี้ได้ นอกจากนี้ ยังมีความเป็นไปได้ที่สุดท้ายแล้ว WTO จะตัดสินว่า มาตรการดังกล่าวไม่ขัดต่อกฎเกณฑ์ของ WTO เช่นกัน
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมาภาคเอกชนให้ความร่วมมือกับรัฐบาลเป็นอย่างดี ด้วยการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตและบริการนำร่องโครงการต่าง ๆ เช่น โครงการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ที่มีผลิตภัณฑ์รวมเกือบ 300 ผลิตภัณฑ์ หรือโครงการของสมาคมอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไทยที่ขณะนี้ขยายไปเป็นเครือข่ายไทยแลนด์คาร์บอนนิวทรัลแล้ว แต่ไทยจะต้องเร่งพัฒนาองค์ความรู้ เพิ่มขีดความสามารถในการสร้างสรรค์นวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและปรับตัวรับมือกับผลกระทบควบคู่ไปกับการสร้างภูมิคุ้มกัน โดยใช้ประโยชน์จากกองทุนระหว่างประเทศ และกลไกส่งเสริมเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ การแบ่งปันคาร์บอนเครดิตร่วมกัน หรือโครงการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยให้ภาคเอกชนเข้าถึงเงินทุนและเทคโนโลยีมาปรับใช้ในองค์กรได้ โดยในวันนี้ตนมีความยินดีอย่างยิ่งที่สมาชิก GCNT ได้มาประกาศเจตนารมณ์ร่วมกันเพื่อขับเคลื่อนตามแผนเหล่านี้ เพื่อเป็นแรงขับเคลื่อนให้ภาคส่วนอื่น ๆ ดำเนินการตามต่อไป
ขณะเดียวกัน รัฐบาลอยู่ระหว่างการยกร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งจะเป็นกฎหมายที่ครอบคลุมประเด็นด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในทุกมิติ และในเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้ ไทยจะเข้าร่วมการประชุม COP26 ณ เมืองกลาสโกว์ สหราชอาณาจักร ซึ่งตนหวังว่า ที่ประชุมจะสามารถหาข้อสรุปร่วมกันในประเด็นสำคัญต่าง ๆ เพื่อนำไปสู่การดำเนินการตามความตกลงปารีสได้อย่างแท้จริง
“การแก้ไขปัญหาclimate change อาจก่อให้เกิดภาระทางเศรษฐกิจและเพิ่มต้นทุนการผลิต แต่นี่เป็นโอกาสที่ไทยจะ “พลิกโฉมประเทศ” สู่เศรษฐกิจสร้างคุณค่า อันจะนำมาซึ่งการเติบโตที่สมดุล ยั่งยืน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น ที่สำคัญ คือ เป็นโอกาสที่จะสร้างพลวัตใหม่ให้แก่เศรษฐกิจของเรา และจะเป็นประโยชน์สำหรับภาคธุรกิจทุกขนาด” พลเอกประยุทธ์ กล่าว
ด้านนายศุภชัย เจียรวนนท์ นายกสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย ได้กล่าวถึง ความมุ่งมั่นและความตั้งใจจริงของสมาชิกเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทยว่า ขณะนี้หนึ่งในสามของสมาชิกสมาคมฯ ได้ลงมือปฏิบัติเพื่อสนับสนุนให้ไทยสามารถบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ทั้ง 17 ข้อแล้ว โดยได้ดําเนินโครงการหรือจะดําเนินโครงการในอนาคตอันใกล้นี้ จํานวน 510 โครงการ และบางส่วนของโครงการเหล่านี้คิดเป็นมูลค่ากว่าสี่แสนสองหมื่นล้านบาท ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรม เช่นเดียวกับการแสดงพลังในวันนี้ ที่จะร่วมป้องกันและแก้ปัญหาวิกฤตจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พร้อมเป็นกําลังขับเคลื่อน และสนับสนุนนโยบายภาครัฐ โดยเฉพาะการขยายผลยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ BCG หรือ Bio-based, Circular และ Green Economy อย่างเป็นรูปธรรม ด้วยการสนับสนุนเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ พลังงานสะอาด อุตสาหกรรมพื้นฐาน ชีวภาพ และธุรกิจมูลค่าสูงที่สร้างมลพิษต่ำ หรือ New S-Curve พร้อมการส่งเสริมเทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่างมีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค รวมถึงนักลงทุน ตลอดจนส่งเสริมการศึกษาสร้างผู้นํารุ่นใหม่ที่มีความรับผิดชอบต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม พร้อมยกตัวอย่างหัวใจสำคัญของการปฏิรูปที่เป็นประโยชน์ต่อการป้องกันและแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นั่นคือ การส่งเสริมความโปร่งใสหรือการตระหนักรู้ผ่านตัวชี้วัดและการรายงาน อีกทั้งยังน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจมาใช้ สร้างภูมิคุ้มกันต่อความเปลี่ยนแปลง (Resilience) ตั้งอยู่บนความไม่ประมาท มีความรัก มีความเมตตา เอาใจเขามาใส่ใจเรา(Compassion) ต่อเพื่อนมนุษย์ ต่อโลก เพราะการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมต้องเริ่มจากตัวเอง
“เราต้องเร่งมือ เร่งการปรับเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจไทย สู่ยุค Net Zero ให้เร็วที่สุด ให้เป็น Race to Zero อย่างแท้จริง ด้วยระบบเศรษฐกิจและสังคมที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานสะอาด ต้องเร่งมือเพื่อให้เกิด Just Transition หรือการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบเศรษฐกิจสีเขียวที่เป็นธรรมแก่คนทุกกลุ่ม ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ลดความเหลื้อมล้ำในทุกมิติโดยเฉพาะในเรื่องเพศ เรื่องโอกาสทางเศรษฐกิจ และการศึกษาที่มีคุณภาพ” นายศุภชัย กล่าว
ในโอกาสนี้ กีต้า ซับบระวาล (Gita Sabharwal) ผู้ประสานงานสหประชาชาติประจําประเทศไทยได้แสดงความเชื่อมั่นในศักยภาพของภาคธุรกิจ โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการขยายตลาดคาร์บอน การเพิ่มและการสร้างสรรค์นวัตกรรม การลงทุนในเทคโนโลยีที่มีความยั่งยืน รวมถึงการให้การสนับสนุนแก่ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในการเปลี่ยนผ่านสู่การดำเนินธุรกิจที่มีการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ ซึ่ง GCNT ตระหนักดีว่า แม้ว่าเป้าหมายด้านความยั่งยืนจะเป็นเป้าหมายสากล แต่บริษัทต่าง ๆ จะต้องดำเนินการตามความพร้อมของตนในการเรียนรู้และเรียนแก้ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ท้าทายนี้
“เราควรให้ความสำคัญกับการลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพราะสองข้อนี้ เป็นวาระที่เร่งด่วนที่สุดในปัจจุบัน เรามีเวลาและโอกาสที่จำกัดสำหรับการแก้ไขปัญหาดังกล่าว การสร้างความเปลี่ยนแปลงด้วยนวัตกรรมในช่วงเวลานี้ จะเป็นโอกาสสำคัญสำหรับภาคธุรกิจในยุคปัจจุบัน ภาคเศรษฐกิจจำเป็นจะต้องเดินหน้าไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งยิ่งเป็นการเน้นย้ำถึงความสำคัญของเวทีความร่วมมือเช่น GCNT” กีต้า กล่าว
ด้านนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งได้เข้าร่วมงานในครั้งนี้ด้วย ได้กล่าวถึงบทบาทของภาคเอกชนในการป้องกันและแก้ปัญหา จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศว่าการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในวันนี้ เป็นเรื่องที่เร่งด่วน และไม่ใช่หน้าที่ของคนใดคนหนึ่ง ไม่ใช่เพียงแค่รัฐบาล ไม่ใช่เพียงแค่ฝ่ายค้าน ไม่ใช่เพียงแค่ภาคเอกชน แต่ทุกฝ่ายจะต้องร่วมมือกัน เพราะปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อม และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนั้นเป็นปัญหาที่กระทบกับมวลมนุษยชาติทุกคน
“สิ่งที่จำเป็นต่อสังคมโลกวันนี้ ภายหลังสถานการณ์โควิด-19 คือ การที่เราจะต้องเดินหน้าโดยคำนึงถึงมาตรการสิ่งแวดล้อม และมาตรการสีเขียว ผนวกเข้าอยู่กับทุกๆขั้นตอนของภาคอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจ หรืออีกนัยหนึ่งคือเศรษฐกิจของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งของประเทศไทย จะเดินหน้าจากนี้ไปต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก และมีแนวคิดเรื่องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการพัฒนาไปสู่สังคมปล่อยคาร์บอนต่ำ ผนวกเข้าอยู่กับทุกๆนโยบายและขั้นตอนการวางแผน” นายวราวุธ กล่าว
การประชุมครั้งนี้พยายามชี้ให้เห็นความสำคัญของทุกภาคส่วนที่จะช่วยขับเคลื่อนสู่ Net Zero โดยเฉพาะบทบาทของตลาดทุนและตลาดเงิน รื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้กล่าวถึงบทบาทของ ก.ล.ต. ว่า “ก.ล.ต. มุ่งมั่นพัฒนาระบบนิเวศที่เกื้อหนุนให้ตลาดทุนไทยมีความยั่งยืน โดยนำหลักการ ESG มาบูรณาการกับการดำเนินงาน เน้นหลัก *tone-from-the-top* และการบริหารจัดการความเสี่ยง ซึ่ง ก.ล.ต. ได้ยกระดับการเปิดเผยข้อมูลด้าน ESG ในแบบ *รายงานประจำปี* 56-1 One Report ซึ่งรวมถึงด้านการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและสิทธิมนุษยชน และส่งเสริมการออกผลิตภัณฑ์การลงทุนที่สนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืน ทั้งนี้ การขับเคลื่อนเรื่อง ESG จำเป็นต้องรับฟังและร่วมมือรวมพลังจากทุกภาคส่วนเพื่อผลักดันเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนให้บรรลุผลสำเร็จต่อไป”
เช่นเดียวกับ ดร. ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้กล่าวถึงบทบาทของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า “ในการเร่งกระบวนการธุรกิจเปลี่ยนผ่าน New Economy เป็น Net Zero อีกไม่นานนี้ ตลาดหลักทรัพย์กำลังจะหารือเพื่อร่วมมือกับ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO) และสภาอุตสาหกรรม ในการจัดตั้งตลาด Carbon Credit เป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่จะนำไปสู่การลดการใช้พลังงาน และการสร้างนวัตกรรมและการพัฒนาธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้วยกลไกตลาดให้เป็นรูปธรรมในไทย”
ทั้งนี้ งาน ‘GCNT Forum 2021: Thailand’s Climate Leadership Summit 2021’ ภายใต้แนวคิด ‘A New Era of Accelerated Actions’ หรือการประชุมสุดยอดระดับผู้นำของประเทศไทย ด้านการปัองกันและแก้ไขปัญหาอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนสภาพภูมิอากาศ ภายใต้แนวคิด มิติใหม่ของการเร่งลงมือทำ จัดขึ้นบนแพล็ตฟอร์มออนไลน์ ตามรูปแบบการประชุมอย่างยั่งยืน (Sustainable Event) โดยสอดคล้องกับแนวทางของสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ สสปน. (Thailand Convention & Exhibition Bureau หรือ TCEB) โดยมีผู้นําจากหลากหลายองค์กรเข้าร่วมงาน จำนวนมากกว่า 800 คน อาทิ ผู้แทนจากองค์การสหประชาชาติ เช่น จาก United Nations Industrial Development Organization (UNIDO) United Nations Environment Programme (UNEP) และ United Nations Development Programme (UNDP) รวมถึงผู้แทน UN Global Compact ผู้นําภาครัฐ ประชาสังคม ภาคเอกชน เช่น บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จํากัด บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ธนาคาร เอชเอสบีซี บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จํากัด บริษัท เอ็น อาร์ อินสแตนท์โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) บริษัท เจริญโภคภัณฑ์โปรดิ๊วส จำกัด บริษัท ซี.พี. อินเตอร์เทรด จำกัด บริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด (โลตัส) บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) บริษัท โอ๊คลิน (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท แพรนด้า จิวเวลรี่ จำกัด (มหาชน) บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ที่มาผนึกกําลังร่วมกับสมาคมโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย เป็นภาคีเครือข่ายด้านความยั่งยืนที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ เดินหน้าเร่งลงมือทำอย่างจริงจังและวัดผลได้ เพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยภายในงานมีเสวนาถึง 5 เวที 5 หัวข้อ ได้แก่ การประเมินสถานการณ์ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในไทย ทางออกในการบรรลุปัญหาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศรายกลุ่มธุรกิจ ได้แก่ กลุ่มธุรกิจอาหารและการเกษตร กลุ่มพลังงาน และกลุ่มอุตสาหกรรมทั่วไป บทบาทของภาคการเงินและการลงทุน บทบาทของนวัตกรรมและเทคโนโลยีในการแก้ปัญหาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และสรุปการหารือและการดำเนินการต่อไป
1 of 5
ข่าวประชาสัมพันธ์
05 ตุลาคม 2021
GCNT-UN in Thailand เตรียมจัดงานใหญ่แห่งปี GCNT Forum 2021 รวมพลังสมาชิก ยกระดับธุรกิจ สู้วิกฤตโลกร้อน
ตุลาคม 2564 : สมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศ (GCNT : Global Compact Network Thailand) ร่วมกับสหประชาชาติในประเทศไทย เตรียมจัดงานประชุมสุดยอดผู้นำความยั่งยืนประจำปี GCNT Forum : Thailand’s Climate Leadership Summit 2021 ภายใต้แนวคิด A New Era of Accelerated Actions ระดมพลังสมาชิก ภาคธุรกิจ ภาครัฐ และสหประชาชาติ ยกระดับความมุ่งมั่น กำหนดทางออก และค้นหาโอกาสในการรับมือกับวิกฤตจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในวันที่ 11 ตุลาคม 2564 เวลา 9.00 – 16.30 น ทางแพล็ตฟอร์มออนไลน์ โดยมีนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้เกียรติเป็นประธานในงาน
นางสาวธันยพร กริชติทายาวุธ ผู้อำนวยการสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย หรือ GCNT เปิดเผยว่าเมื่อวิกฤติโควิด 19 เริ่มทุเลาลง โลกยังต้องเผชิญวิกฤติขนาดใหญ่และร้ายแรงที่รออยู่ นั่นคือ ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งนับเป็นประเด็นเร่งด่วนและท้าทายที่สุดประเด็นหนึ่งเกี่ยวกับการพัฒนาที่ยั่งยืนโดยสถิติต่างๆ ล้วนยืนยันว่า โลกของเรากำลังเข้าสู่สภาวะโลกร้อนที่รุนแรงมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นไฟป่าร้ายแรง ระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้นทุกวัน น้ำแข็งขั้วโลกละลายและหิมะที่ลดลง ปี 2563 ที่ผ่านมา ยังนับเป็นปีที่โลกมีอุณหภูมิสูงที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกมา ขณะที่ข้อตกลงปารีสพยายามยับยั้งไม่ให้อุณหภูมิโลกสูงเกิน 1.5 องศาเซลเซียสจากระดับก่อน ปฏิวัติอุตสาหกรรม แต่เมื่อปลายปีที่ผ่านมา อุณหภูมิโลกได้เพิ่มไปกว่า 1.2 องศาเซลเซียสแล้ว สะท้อนถึงความรุนแรงของสถานการณ์ในปัจจุบัน ดังที่นายบัน คี มูน อดีตเลขาธิการสหประชาชาติกล่าวไว้ว่า “There is no Plan B because there is no Planet B.” กล่าวคือ เราต้องร่วมกันแก้ไขสถานการณ์รุนแรงนี้ อย่างจริงจังตั้งแต่วันนี้ เพราะเราไม่มีโลกอื่นสำรองไว้เราจึงต้องรักษาโลกนี้ไว้ให้ดีที่สุด
ในปีนี้ สมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย จึงได้หยิบยกประเด็นดังกล่าวหารือกับสมาชิกกว่า 70 องค์กร พร้อมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในไทย เพื่อร่วมหาทางออก (solutions-oriented) ในการบรรเทาและป้องกันปัญหา อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยมีภาคเอกชนเป็นเครื่องจักรขับเคลื่อนที่สำคัญ และกำหนดให้การรับมือกับมหันภัยโลกร้อนเป็นประเด็นหลักในเวทีสัมมนาประจำปีของสมาคม GCNT Forum : Thailand’s Climate Leadership Summit 2021 ภายใต้แนวคิด A New Era of Accelerated Actionsโดยมุ่งหวังที่จะนำเสนอความคืบหน้าของการดำเนินงานเพื่อส่งเสริมการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals – SDGs) ขององค์กรสมาชิก ที่ได้ร่วมประกาศเจตนารมณ์ไว้ ในงาน GCNT Forum ครั้งแรกเมื่อปี 2563 และนำเสนอสถานะล่าสุดว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในประเทศไทย รวมทั้งนำเสนอทางออกในการแก้ปัญหาอันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะในส่วนความรับผิดชอบของภาคเอกชนไทย ตลอดจนระดมความมุ่งมั่นและการปฏิบัติจากภาคส่วนต่าง ๆ โดยเฉพาะภาคเอกชน เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหา อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในไทย
GCNT Forum: Thailand’s Climate Leadership Summit 2021 ภายใต้แนวคิด A New Era of Accelerated Actions หรือ การประชุมสุดยอดผู้นำด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภายใต้แนวคิด มิติใหม่ของการเร่งลงมือทำในวันที่ 11 ตุลาคม 2564 นี้ เวลา 9.00 – 16.30 น. บนแพล็ตฟอร์มออนไลน์ ตามรูปแบบการประชุมอย่างยั่งยืน (Sustainable Event) โดยสอดคล้องกับแนวทางของสานักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ สสปน. (Thailand Convention & Exhibition Bureau หรือ TCEB) โดยมีนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้เกียรติเป็นประธานในงาน พร้อมด้วยนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายศุภชัย เจียรวนนท์ นายกสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทยและประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ นางกีต้า ซับบระวาล (Gita Sabharwal) ผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย ดร. ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย นางรื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และผู้นำจากองค์กรธุรกิจชั้นนำ อาทิ บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จํากัด บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) ธนาคาร เอชเอสบีซี บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จํากัด บริษัท เอ็น อาร์ อินสแตนท์โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) บริษัท ซี.พี. อินเตอร์เทรด จำกัด บริษัท เจริญโภคภัณฑ์โปรดิ๊วส จำกัด บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) บริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด (โลตัส) บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) บริษัท โอ๊คลิน (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท
แพรนด้า จิวเวลรี่ จำกัด (มหาชน) บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ผู้สนใจร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลงไปด้วยกัน ด้วยการร่วมลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ สามารถดูรายละเอียดและลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายที่ https://gcntforum2021.globalcompact-th.com หรือแสกน QR Code
แพรนด้า จิวเวลรี่ จำกัด (มหาชน) บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ผู้สนใจร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลงไปด้วยกัน ด้วยการร่วมลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ สามารถดูรายละเอียดและลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายที่ https://gcntforum2021.globalcompact-th.com หรือแสกน QR Code
1 of 5
ข่าวประชาสัมพันธ์
04 ตุลาคม 2021
ประเทศไทยควรบังคับใช้กฎหมายเอาผิดทางอาญาการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายโดยเร็ว สำนักงานเพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ กล่าว
กรุงเทพมหานคร – สำนักงานเพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยินดีที่ประเทศไทยรับหลักการร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย และเรียกร้องให้รัฐบาลไทยบังคับใช้กฎหมายที่มีเนื้อหาสอดคล้องตามมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศอย่างครบถ้วนโดยเร็ว
สภาผู้แทนราษฎรได้มีมติรับหลักการร่างพ.ร.บ.ฯ ฉบับนี้เพื่อนำมาพิจารณาเมื่อวันที่ 16 กันยายนที่ผ่านมา โดยคาดว่าคณะกรรมาธิการวิสามัญซึ่งได้รับการแต่งตั้งเพื่อพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าวจะประชุมครั้งแรกในวันที่ 5 ตุลาคมนี้
ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันต่ออนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน และการกระทำอื่นๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี (Convention Against Torture and other Cruel, Inhuman or Degrading Treatment or Punishment หรือ CAT) เมื่อปี 2550 และลงนามอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ (International Convention for the Protection of All Persons from Enforced Disappearance หรือ ICPPED) เมื่อปี 2555 ทั้งนี้ ประเทศไทยยังไม่ได้ให้สัตยาบันต่อ ICPPED และพิธีสารเลือกรับของอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน และการกระทำอื่นๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี (Optional Protocol to the Convention against Torture and other Cruel, Inhuman or Degrading Treatment or Punishment หรือ OPCAT)
เมื่อปี 2559 ระหว่างที่มีการทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชน (Universal Periodic Review หรือ UPR) ของประเทศไทย รอบที่ 2 นั้น ประเทศไทยได้ให้คำมั่นโดยสมัครใจว่าจะเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญาระหว่างประเทศฉบับต่างๆ รวมถึง ICPPED และ OPCAT อีกทั้ง ในรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนตามกระบวนการ UPR รอบที่ 2 ฉบับกลางรอบ เมื่อปี 2562 นั้น ประเทศไทยกล่าวว่าจะภาคยานุวัติ ICPPED ต่อเมื่อมีการบังคับใช้กฎหมายภายในประเทศกำหนดความผิดทางอาญาการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย โดย UPR เป็นกระบวนการทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของรัฐสมาชิกสหประชาชาติทุกประเทศ
แม้ร่างพ.ร.บ.ฯ ฉบับนี้จะมีเนื้อหาครอบคลุมหลักการระหว่างประเทศที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในการที่จะไม่ถูกทรมานเป็นสิทธิมนุษยชนที่ไม่อาจระงับชั่วคราวได้ (non-derogability of torture) และหลักการไม่ส่งใครกลับไปเผชิญอันตราย (non-refoulement) แต่นิยามหลักของอาชญากรรมการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายนั้นไม่เป็นไปตามกฎหมายระหว่างประเทศ อีกทั้ง ร่าง พ.ร.บ.ฯ ยังขาดบทกำหนดความผิดทางอาญาที่เกี่ยวข้องกับการกระทำหรือการลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี (cruel, inhuman and degrading treatment or punishment) และไม่ได้กล่าวถึงประเด็นเรื่องการยอมรับไม่ได้ของคำให้การ หรือข้อมูลอื่นที่ได้จากการทรมาน การกระทำที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรีเพื่อเป็นหลักฐานในกระบวนการทางกฎหมาย
“เราขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยบังคับใช้พ.ร.บ.ที่มีองค์ประกอบที่จำเป็นและเกี่ยวข้องทุกประการโดยไม่รีรออีกต่อไป เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานระหว่างประเทศอย่างครบถ้วน และเป็นการปฏิบัติตามคำมั่นโดยสมัครใจที่ให้ไว้ในกระบวนการ UPR เมื่อปี 2559 ที่จะให้สัตยาบันต่อ ICPPED และ OPCAT” ซินเทีย เวลิโก้ ผู้แทนประจำภูมิภาค สำนักงานเพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าว
หากต้องการข้อมูลหรือสอบถามเพิ่มเติม โปรดติดต่อ: ท็อด พิตแมน (063 216 9080 / todd.pitman@un.org) หรือ วรรณภร สมุทรอัษฎงค์ (065 986 0810 / wannaporn.samutassadong@un.org) ประจำสำนักงานฯ ที่กรุงเทพมหานคร
แท็กและแชร์ – Twitter: @OHCHRAsia, Facebook: OHCHRAsia และ Instagram @ohchr_asia
1 of 5
ข่าวประชาสัมพันธ์
30 กันยายน 2021
สมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็ก-สหประชาชาติในประเทศไทย ระดมพลังสมาชิก เตรียมประกาศจุดยืนภาคเอกชน ยกระดับธุรกิจ สู้วิกฤตโลกร้อน
กันยายน 2564 : สมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย หรือ GCNT (Global Compact Network Thailand) ร่วมกับสหประชาชาติในประเทศไทย และสถานทูตสหราชอาณาจักรประจำประเทศไทย จัดการประชุม Build Forward Better: Turning the Climate Crisis into Business Opportunities ระดมพลังสมาชิก เตรียมประกาศจุดยืนภาคเอกชนไทย เพิ่มขีดความสามารถ ยกระดับธุรกิจสู้วิกฤตโลกร้อน พร้อมลงมือทำอย่างจริงจัง (A New Era of Action) เอาชนะเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หวังเปลี่ยนความกดดันด้านสิ่งแวดล้อมเป็นโอกาสทางธุรกิจ
นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ และนายกสมาคมเครือข่ายโกลบอล คอมแพ็กแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ภัยคุกคามต่อมนุษยชาติที่ร้ายแรงยิ่งกว่าวิกฤต COVID19 ซึ่งกำลังคลี่คลายและอาจหายไปในที่สุด นั่นคือ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในระดับที่เลขาธิการสหประชาชาติเรียกผลการประเมินล่าสุดเกี่ยวกับวิกฤตโลกร้อนจากรายงานของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ IPCC (Inter-governmental Panel on Climate Change) ว่า “Code Red” แสดงถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ขั้นสูงสุด และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นหนึ่งในภูมิภาคที่เปราะบางที่สุดในโลกต่อผลกระทบของเรื่องนี้ ซึ่งแน่นอนว่า ประเทศไทยของเราไม่สามารถหลบหนีจากผลกระทบอันรุนแรงเหล่านี้ได้ โดยผลกระทบในเรื่องนี้มีขอบเขตที่กว้างขวางและมีค่าใช้จ่ายสูง ไม่ว่าจะเป็นอุณหภูมิที่สูงขึ้น ความเข้มข้นของก๊าซเรือนกระจกที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ สภาพอากาศสุดขั้ว
ภัยพิบัติจากสภาพอากาศที่จะเพิ่มความถี่และความรุนแรงขึ้น ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นและน้ำทะเลเป็นกรดมากขึ้น และผลกระทบอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งจะส่งผลให้ผลผลิตพืชลดลง ระบบอาหารหยุดชะงัก น้ำท่วมเมืองชายฝั่งทั่วโลก โรคระบาด และอาจทำให้โลกสูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจทั้งหมด 10% ภายในปี 2593 โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่การเติบโตทางเศรษฐกิจอาจลดลงถึง 20% หากเราไม่ดำเนินการใด ๆ GCNT จึงเร่งสร้างความตระหนักในภาคเอกชนและสนับสนุนให้ธุรกิจมีความมุ่งมั่น เพิ่มขีดความสามารถ ยกระดับธุรกิจสู้วิกฤตโลกร้อน โดยจัดให้มีการสัมมนาร่วมกับผู้เชี่ยวชาญระดับโลก การฝึกอบรมภาคปฏิบัติ และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างสมาชิกอย่างต่อเนื่อง และเรียกร้องให้ภาคธุรกิจเร่งลงมืออย่างจริงจังมากขึ้น ไม่เพียงแต่รับมือกับความท้าทายของการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ แต่เพื่อเปลี่ยนให้เป็นโอกาสทางธุรกิจ ทั้งในเรื่องของพลังงานสะอาด รวมถึงการกำจัดของเสียและการนำกลับมาใช้ใหม่ผ่านระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยได้มีการระดมสรรพกำลังจากสมาชิก เตรียมประกาศจุดยืนของภาคเอกชนไทย ยกระดับธุรกิจสู้วิกฤตโลกร้อน ในการประชุมสุดยอดผู้นำความยั่งยืนประจำปี GCNT FORUM 2021 ในวันที่ 11 ตุลาคมที่จะถึงนี้
“GCNT เรียกร้องให้ภาคเอกชนยกระดับธุรกิจสู้วิกฤตโลกร้อน โดยมีกลยุทธ์สำคัญ คือ ส่งเสริมความโปร่งใสผ่านการเปิดเผยข้อมูล การนำกลไกตลาดมาใช้เพื่อส่งเสริมให้สมาชิกพัฒนาตนเองอยู่เสมอ การพัฒนานวัตกรรมทั้งในด้านเทคโนโลยีและความคิด และที่สำคัญที่สุด คือ การส่งต่อเจตนารมณ์นี้ผ่านการบ่มเพาะผู้นำความยั่งยืนรุ่นต่อไป” คุณศุภชัย กล่าว
ส่วนกีต้า ซับบระวาล (Gita Sabharwal) ผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย กล่าวว่า ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ระบุชัดเจนว่า ภาวะโลกร้อนเร็วขึ้นและรุนแรงขึ้น ภาคเอกชนสามารถเป็นผู้นำในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของประเทศไทย ด้วยการลงทุนที่จะทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวบนเป้าหมายคาร์บอนต่ำ (Low carbon) โดยใช้นวัตกรรมต่าง ๆ เข้ามาช่วย เพื่อให้อุณหภูมิโลกเปลี่ยนแปลงไม่เกิน 1.5 องศา ตามความตกลงปารีส และเชื่อว่านี่คือโอกาสที่เราจะฟื้นตัวให้ดียิ่งขึ้น โดยมีสัญญาณที่ดีเมื่อเร็ว ๆ นี้ สถาบันการเงินการธนาคาร 43 องค์กร นำโดยกระทรวงการคลัง และองค์การสหประชาชาติ ได้ประกาศเจตนารมณ์ในการดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบ ด้วยการลงทุนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ความยั่งยืน
“ก้าวสำคัญก้าวต่อไป คือ การร่วมกันกำหนดรูปแบบการฟื้นตัว พร้อมร่วมมือกับภาคเอกชน เพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างปลอดคาร์บอนในประเทศไทยและทั่วทั้งภูมิภาค ถึงเวลาแล้ว ที่เราจะดำเนินการร่วมกันทั้งเรียนรู้ และผลักดันซึ่งกันและกันไปสู่เป้าหมาย” คุณกีต้า กล่าว
ด้านนายมาร์ค กูดดิ้ง (Mark Gooding) เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย ระบุว่า การประชุม COP26 คือหมุดหมายสำคัญที่ทุกประเทศและทุกภาคส่วนของสังคมต้องอ้าแขนรับภารกิจการปกป้องโลก ภาคธุรกิจนับเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการบรรลุเป้าหมายของการประชุม COP26 และทุกธุรกิจสามารถมีส่วนร่วมได้ ทั้งโดยผ่านกิจกรรมของตนเอง และผ่านความร่วมมือกับธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งช่วยกันผลักดันการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศไปใน
วงกว้าง โดยเชิญชวนธุรกิจต่าง ๆ ให้เข้าร่วมแคมเปญ Race to Zero ซึ่งเป็นแคมเปญระดับโลกที่สนับสนุนโดยสหประชาชาติ เพื่อเรียกร้องให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจังและเร่งด่วน “ผมยินดีมากที่จะได้นำเสนอให้ทั่วโลกได้ทราบว่า ประเทศไทย โดยเฉพาะภาคเอกชน พร้อมแสดงความร่วมมือกับโลกในเรื่องนี้ ในการประชุมสุดยอดด้านสภาพอากาศระหว่างประเทศ COP26 ที่จะเกิดขึ้น ณ เมืองกลาสโกว์ ในเดือนพฤศจิกายนที่จะถึง” นายมาร์ค กล่าว ทั้งนี้ เหลือเวลาอีกเพียง 1 เดือน ที่การประชุม COP26 จะเป็นเวทีที่ผู้นำโลกจากหลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทย และผู้นำองค์กรระหว่างประเทศ องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร และภาคธุรกิจได้เจรจาด้านสภาพภูมิอากาศ ประกาศเจตนารมณ์ และระดมความร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหานี้ ซึ่งหากไม่รีบลดการปล่อยเชื้อเพลิงฟอสซิลและลดการตัดไม้ทำลายป่าลง จะส่งผลให้ผู้คนหลายพันล้านคนตกอยู่ในความเสี่ยง ขณะเดียวกัน ภาคเอกชนที่ทำการค้าระหว่างประเทศ ควรเตรียมรับมือกับมาตรการ เงื่อนไข และกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่กำลังถูกยกระดับขึ้นทั่วโลก
ช่วงท้ายของการประชุม เป็นการเปิด Workshop ระดมความเห็นจากสมาชิกของสมาคมฯ ซึ่งเป็นองค์กรธุรกิจไทยชั้นนำ โดยองค์กรที่เข้าร่วมในครั้งนี้ อาทิ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) บริษัท ซีพี ออลล์ จํากัด (มหาชน) บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จํากัด บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) บริษัท โอ๊คลิน (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท เอ็น อาร์ อินสแตนท์โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท แพรนด้า จิวเวลรี่ จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยออยล์ จํากัด (มหาชน) บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) เพื่อเตรียมยกระดับธุรกิจและรับมือกับความท้าทายระดับโลก ถือเป็นก้าวที่สำคัญยิ่งในปีแห่งการดำเนินงานด้านสภาพภูมิอากาศ ที่แสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงนั้น "เป็นไปได้" หมายเหตุถึงบรรณาธิการ: สมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (GCNT - Global Compact Network Thailand): เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนธันวาคม 2561 โดยสมาชิกผู้ก่อตั้งในไทย 15 บริษัท ปัจจุบันมีสมาชิกกว่า 80 องค์กร โดยสมาคมฯ นับเป็นหนึ่งในเครือข่ายท้องถิ่น (Local Network) ของโครงการสำคัญในระดับโลกของสหประชาชาติ หรือUN Global Compact ซึ่งเป็นเครือข่ายการพัฒนาที่ยั่งยืนที่ใหญ่ที่สุดในโลก รณรงค์ให้ภาคเอกชนทั่วโลกวางกลยุทธ์และยึดหลักการทำงานที่สร้างเศรษฐกิจยั่งยืน ภายใต้หลักสากล 10 ประการ ครอบคลุม 4 ด้าน ได้แก่ สิทธิมนุษยชน มาตรฐานแรงงาน สิ่งแวดล้อม การต่อต้านทุจริต ตลอดจนดำเนินกิจกรรมที่ช่วยผลักดันเป้าหมายสหประชาชาติ อาทิ เป้าหมายว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) รวมไปถึงความตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Paris Agreement) สหประชาชาติในประเทศไทย (United Nations in Thailand): สหประชาชาติทำงานร่วมกับรัฐบาลไทยและประชาชนไทยมากว่า 50 ปี เพื่อสนับสนุนการพัฒนาที่ครอบคลุมและยั่งยืน โดยยึดตามวาระสำคัญและแผนงานระดับชาติ ทีมสหประชาชาติประจำประเทศประกอบด้วยหน่วยงานของสหประชาชาติ 21 หน่วยงาน ซึ่งต่างดำเนินโครงการและกิจกรรมเฉพาะด้านในประเทศไทย ผ่านความร่วมมือกับรัฐบาลไทย ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในระดับชาติ ภาคประชาสังคม สถาบันการศึกษา ภาคเอกชนผู้บริจาค และสื่อมวลชน และยังทำงานอย่างใกล้ชิดกับคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมสำหรับเอเชียและแปซิฟิก (เอสแคป) อีกด้วย
วงกว้าง โดยเชิญชวนธุรกิจต่าง ๆ ให้เข้าร่วมแคมเปญ Race to Zero ซึ่งเป็นแคมเปญระดับโลกที่สนับสนุนโดยสหประชาชาติ เพื่อเรียกร้องให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจังและเร่งด่วน “ผมยินดีมากที่จะได้นำเสนอให้ทั่วโลกได้ทราบว่า ประเทศไทย โดยเฉพาะภาคเอกชน พร้อมแสดงความร่วมมือกับโลกในเรื่องนี้ ในการประชุมสุดยอดด้านสภาพอากาศระหว่างประเทศ COP26 ที่จะเกิดขึ้น ณ เมืองกลาสโกว์ ในเดือนพฤศจิกายนที่จะถึง” นายมาร์ค กล่าว ทั้งนี้ เหลือเวลาอีกเพียง 1 เดือน ที่การประชุม COP26 จะเป็นเวทีที่ผู้นำโลกจากหลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทย และผู้นำองค์กรระหว่างประเทศ องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร และภาคธุรกิจได้เจรจาด้านสภาพภูมิอากาศ ประกาศเจตนารมณ์ และระดมความร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหานี้ ซึ่งหากไม่รีบลดการปล่อยเชื้อเพลิงฟอสซิลและลดการตัดไม้ทำลายป่าลง จะส่งผลให้ผู้คนหลายพันล้านคนตกอยู่ในความเสี่ยง ขณะเดียวกัน ภาคเอกชนที่ทำการค้าระหว่างประเทศ ควรเตรียมรับมือกับมาตรการ เงื่อนไข และกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่กำลังถูกยกระดับขึ้นทั่วโลก
ช่วงท้ายของการประชุม เป็นการเปิด Workshop ระดมความเห็นจากสมาชิกของสมาคมฯ ซึ่งเป็นองค์กรธุรกิจไทยชั้นนำ โดยองค์กรที่เข้าร่วมในครั้งนี้ อาทิ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) บริษัท ซีพี ออลล์ จํากัด (มหาชน) บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จํากัด บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) บริษัท โอ๊คลิน (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท เอ็น อาร์ อินสแตนท์โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท แพรนด้า จิวเวลรี่ จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยออยล์ จํากัด (มหาชน) บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) เพื่อเตรียมยกระดับธุรกิจและรับมือกับความท้าทายระดับโลก ถือเป็นก้าวที่สำคัญยิ่งในปีแห่งการดำเนินงานด้านสภาพภูมิอากาศ ที่แสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงนั้น "เป็นไปได้" หมายเหตุถึงบรรณาธิการ: สมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (GCNT - Global Compact Network Thailand): เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนธันวาคม 2561 โดยสมาชิกผู้ก่อตั้งในไทย 15 บริษัท ปัจจุบันมีสมาชิกกว่า 80 องค์กร โดยสมาคมฯ นับเป็นหนึ่งในเครือข่ายท้องถิ่น (Local Network) ของโครงการสำคัญในระดับโลกของสหประชาชาติ หรือUN Global Compact ซึ่งเป็นเครือข่ายการพัฒนาที่ยั่งยืนที่ใหญ่ที่สุดในโลก รณรงค์ให้ภาคเอกชนทั่วโลกวางกลยุทธ์และยึดหลักการทำงานที่สร้างเศรษฐกิจยั่งยืน ภายใต้หลักสากล 10 ประการ ครอบคลุม 4 ด้าน ได้แก่ สิทธิมนุษยชน มาตรฐานแรงงาน สิ่งแวดล้อม การต่อต้านทุจริต ตลอดจนดำเนินกิจกรรมที่ช่วยผลักดันเป้าหมายสหประชาชาติ อาทิ เป้าหมายว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) รวมไปถึงความตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Paris Agreement) สหประชาชาติในประเทศไทย (United Nations in Thailand): สหประชาชาติทำงานร่วมกับรัฐบาลไทยและประชาชนไทยมากว่า 50 ปี เพื่อสนับสนุนการพัฒนาที่ครอบคลุมและยั่งยืน โดยยึดตามวาระสำคัญและแผนงานระดับชาติ ทีมสหประชาชาติประจำประเทศประกอบด้วยหน่วยงานของสหประชาชาติ 21 หน่วยงาน ซึ่งต่างดำเนินโครงการและกิจกรรมเฉพาะด้านในประเทศไทย ผ่านความร่วมมือกับรัฐบาลไทย ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในระดับชาติ ภาคประชาสังคม สถาบันการศึกษา ภาคเอกชนผู้บริจาค และสื่อมวลชน และยังทำงานอย่างใกล้ชิดกับคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมสำหรับเอเชียและแปซิฟิก (เอสแคป) อีกด้วย
1 of 5
ข่าวประชาสัมพันธ์
24 สิงหาคม 2021
สหประชาชาติขอบคุณประเทศไทยสำหรับความร่วมมือในภารกิจรักษาสันติภาพ
ปัจจุบันประเทศไทยมีบุคลากรเข้าร่วมภารกิจรักษาสันติภาพทั้งทหารและตำรวจ มากถึง 296 คน ประกอบด้วยบุคลากรหญิง 13 คน ปฏิบัติการอยู่ใน 2 ภารกิจสำคัญ โดยได้สร้างคุณูปการอย่างยิ่งต่อการฟื้นฟูพัฒนาประเทศซูดานใต้ (UNMISS) และยังส่งผู้สังเกตการณ์ทางทหารเข้าร่วมในกลุ่มสังเกตการณ์ทางทหารของสหประชาชาติในประเทศอินเดียและประเทศปากีสถาน (UNMOGIP) อีกด้วย
ตลอดสามทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยให้การสนับสนุนภารกิจรักษาสันติภาพในหลายประเทศ เช่นในประเทศกัมพูชา เลบานอน อิรัก ติมอร์-เลสเต บุรุนดี เฮติ และไลบีเรีย และมีบุคลากรแปดคนที่ได้เสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ “สหประชาชาติซาบซึ้งใจในความทุ่มเทอย่างต่อเนื่องของประเทศไทยที่มอบให้กับภารกิจรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ” ลาครัวซ์กล่าว
“บุคลากรของประเทศไทยได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นมืออาชีพและการอุทิศตนในระดับสูง และเรารู้สึกขอบคุณอย่างยิ่งสำหรับการร่วมภารกิจและความเสียสละทุ่มเทของบุคลากรทุกท่าน” ลาครัวซ์กล่าวเสริม
ประเทศไทยสนับสนุนแนวคิดริเริ่มว่าด้วย “การร่วมลงมือทำเพื่อรักษาสันติภาพ” (A4P) ของเลขาธิการสหประชาชาติ ซึ่งเรียกร้องให้ประเทศสมาชิก คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ประเทศเจ้าภาพ ประเทศที่ให้ความช่วยเหลือด้านบุคลากรทั้งทหารและตำรวจ หุ้นส่วนระดับภูมิภาค และผู้ให้การสนับสนุนทางการเงิน สานต่อความร่วมมือเพื่อรักษาสันติภาพและมุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศร่วมกัน
หมายเหตุถึงบรรณาธิการ:
ฝ่ายการสื่อสารของสหประชาชาติได้ดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์ “การรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ – การปฏิบัติภารกิจและความเสียสละทุ่มเท” ซึ่งเป็นกิจกรรมระยะยาวระดับสากล เพื่อยกย่องและขอบคุณนานาประเทศที่ได้สนับสนุนบุคลากรทั้งชายและหญิงในภารกิจรักษาสันติภาพมาโดยตลอด ข้อมูลเพิ่มเติม : https://peacekeeping.un.org/en/service-and-sacrifice
นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1948 มีบุคลากรทหาร ตำรวจ และพลเรือนนับล้านคน จากกว่า 120 ประเทศเข้าร่วมภารกิจรักษาสันติภาพ ปกป้องคุ้มครองชีวิต และช่วยเหลือกลุ่มผู้เปราะบาง โดยเฉพาะในประเทศที่กำลังเปลี่ยนผ่านจากความขัดแย้งไปสู่สันติภาพ เป็นเรื่องน่าเศร้าที่หลายคนต้องเสียสละถึงชีวิต มีผู้รักษาสันติภาพมากกว่า 3,500 คนที่เสียชีวิตในการปฏิบัติหน้าที่ ข้อมูลเพิ่มเติม : https://peacekeeping.un.org/en/what-is-peacekeeping
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวคิดริเริ่มว่าด้วย “การร่วมลงมือทำเพื่อรักษาสันติภาพ (Action for Peacekeeping หรือ A4P)” ของเลขาธิการสหประชาชาติ : https://peacekeeping.un.org/en/action-for-peacekeeping-a4p
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โปรดติดต่อ (สำหรับสื่อมวลชน):
รายละเอียดติดต่อในประเทศไทย
สำนักงานผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศ (กรุงเทพมหานคร)
บวรพงษ์ วัฒนาธนากุล
เจ้าหน้าที่สื่อสารและสนับสนุนนโยบาย
สำนักงานผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย
โทร : +66 86 397 3369
อีเมล์ : bovornpong.vathanathanakul@un.org รายละเอียดติดต่อในประเทศซูดานใต้ (UNMISS)
พริยันกา ชาวดรี (Priyanka Chowdhury)
หัวหน้าฝ่ายสื่อสารมัลติมีเดียและข้อมูลสาธารณะ
อีเมล์ : chowdhury20@un.org
หมายเลขโทรศัพท์สำนักงาน : 190-2872 ; โทรศัพท์มือถือ : +211 912108281
รายละเอียดติดต่อของสำนักงานใหญ่สหประชาชาติ
แผนกสื่อสารระดับโลก (นิวยอร์ก)
ดักลาส คอฟแมน (Douglas Coffman)
+ 1 917 361 9923
coffmand@un.org
วาเลอรี เมนิล-วาร์เลต์ (Valerie Mainil-Varlet)
+1 929 213 8113
mainil-varlet@un.org
แผนกปฏิบัติการเพื่อสันติภาพ
เฮกเตอร์ คาลเดรอน (Hector Calderon)
Hector.calderon@un.org
+ 1 212 963 4203
สำนักงานผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศ (กรุงเทพมหานคร)
บวรพงษ์ วัฒนาธนากุล
เจ้าหน้าที่สื่อสารและสนับสนุนนโยบาย
สำนักงานผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย
โทร : +66 86 397 3369
อีเมล์ : bovornpong.vathanathanakul@un.org รายละเอียดติดต่อในประเทศซูดานใต้ (UNMISS)
พริยันกา ชาวดรี (Priyanka Chowdhury)
หัวหน้าฝ่ายสื่อสารมัลติมีเดียและข้อมูลสาธารณะ
อีเมล์ : chowdhury20@un.org
หมายเลขโทรศัพท์สำนักงาน : 190-2872 ; โทรศัพท์มือถือ : +211 912108281
รายละเอียดติดต่อของสำนักงานใหญ่สหประชาชาติ
แผนกสื่อสารระดับโลก (นิวยอร์ก)
ดักลาส คอฟแมน (Douglas Coffman)
+ 1 917 361 9923
coffmand@un.org
วาเลอรี เมนิล-วาร์เลต์ (Valerie Mainil-Varlet)
+1 929 213 8113
mainil-varlet@un.org
แผนกปฏิบัติการเพื่อสันติภาพ
เฮกเตอร์ คาลเดรอน (Hector Calderon)
Hector.calderon@un.org
+ 1 212 963 4203
1 of 5
ทรัพยากรล่าสุด
1 / 11
ข้อมูล
10 ธันวาคม 2021
1 / 11