ล่าสุด
เรื่อง
15 กันยายน 2023
3 ประเด็นต้องจับตาเปิดฉากประชุมผู้นำโลก UNGA ครั้งที่ 78
เรียนรู้เพิ่มเติม
ภาพ
13 กันยายน 2023
งาน ITU Regional Development Forum for Asia and the Pacific 2023
เรียนรู้เพิ่มเติม
วิดีโอ
30 สิงหาคม 2023
นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ประกาศสนับสนุนเป้าหมาย SDGs ก่อนเปิดประชุม UN General Assembly (UNGA) ครั้งที่ 78
เรียนรู้เพิ่มเติม
ล่าสุด
เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนใน ประเทศไทย
ทีมงานสหประชาชาติในประเทศไทยมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้ง 17 เป้าหมาย โดยเน้นความสำคัญของการพัฒนาอย่างยั่งยืนเชิงพื้นที่ (SDG localization) เพื่อนำวาระการพัฒนาระดับโลกสู่ชุมชนท้องถิ่นให้บรรลุผลลัพธ์ตามเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิผล ผลการดำเนินงานที่มีความโดดเด่นที่ผ่านมา ได้แก่ ความพยายามในการส่งเสริมระบบการคุ้มครองทางสังคมแบบบูรณาการสำหรับทุกคน (เป้าหมาย 1.3) การแก้ปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (เป้าหมายที่ 3.4) การให้การศึกษาที่ครอบคลุมซึ่งรวมถึงเด็กในกลุ่มผู้โยกย้ายถิ่นฐาน (เป้าหมาย 3.4) และการส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของสตรี (เป้าหมาย 5.5) อีกทั้งยังมุ่งเสริมพลังและความเข้มแข็งแก่วิสาหกิจขนาดกลางและย่อม และส่งเสริมนวัตกรรมจากคนรุ่นใหม่โดยเน้นสิทธิมนุษยชนในภาคธุรกิจและการพลิกโฉมวิสาหกิจด้วยระบบดิจิทัล (เป้าหมาย 8.3) การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุมซึ่งรวมถึงกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศสภาพ (LGBTI) (เป้าหมาย 10.2) รวมถึงการดำเนินงานด้านการอภิบาลแรงงานข้ามชาติเพื่อส่งเสริมให้เป็นไปอย่างปลอดภัย ถูกกฎหมาย และมีระเบียบที่ชัดเจน (เป้าหมาย 10.7) นอกจากนั้น องค์การสหประชาชาติยังได้ดำเนินการตามยุทธศาสตร์ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (เป้าหมาย 13.2) การจัดการขยะมูลฝอย (เป้าหมาย 11.6) และการเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมสีเขียว โดยมุ่งส่งเสริมอุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำและภาคการเงินและการลงทุนที่เกื้อหนุนอุตสาหกรรมสีเขียวในหมู่วิสาหกิจขนาดกลางและย่อม (เป้าหมาย 7.2) สนับสนุนสิทธิการเป็นพลเมืองที่ครอบคลุมเพื่อส่งเสริมการเข้าถึงสิทธิของประชาชน (เป้าหมาย 16.9) และแบ่งปันประสบการณ์และแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศของไทยกับนานาประเทศ ผ่านความร่วมมือไตรภาคีแบบใต้-ใต้ (เป้าหมาย 17.9) สู่การพลิกโฉมสังคมไทยไปพร้อมกับทุกภาคส่วน ให้มีความรุ่งเรือง มั่งคั่ง ยั่งยืน และครอบคลุม
ลงมือทำ
15 สิงหาคม 2023
ส่องวิธีประหยัดพลังงาน ลดค่าไฟ-ดีต่อโลก
เรายังคงใช้ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซเป็นส่วนใหญ่เพื่อผลิตไฟฟ้าและความร้อน คุณจะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ ในบ้านของคุณได้อย่างไร? ดูได้ที่นี่เลย!
1 of 5

วิดีโอ
15 สิงหาคม 2023
กระทรวงมหาดไทย-UN-องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก:TGO-KBank ลงนามเทรดคาร์บอนเครดิต
1 of 5

เรื่อง
21 สิงหาคม 2023
'คริสติน่า' เดินหน้าลงพื้นที่สานต่อภารกิจเพื่อสังคม
ถือเป็นความมุ่งมั่นและส่งต่อกำลังใจที่ยิ่งใหญ่อย่างต่อเนื่อง กับศิลปินหญิงที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในอุตสาหกรรมเพลงไทย คริสติน่า อากีล่าร์ หลังได้รับการแต่งตั้งจาก UNFPA เป็น Champion of UNFPA คนแรกของประเทศไทย ได้สานต่อและผลักดันให้ประชาชนทุกเพศทุกวัยตระหนักถึงความเสมอภาคทางเพศ และยุติความรุนแรง
โดยมี กองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ ประจำประเทศไทย (UNFPA) และภาคีหลัก บริษัท นินจา เพอร์เฟคชั่น จำกัด (NINJA Perfection) ร่วมกับ บริษัท ทีวีบูรพา จำกัด (TVBG) ลงพื้นที่พบผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายและนายอำเภอเชียงของ เพื่อรับฟัง พูดคุยและสัมผัสถึงปัญหาความไม่เท่าเทียมทางเพศ การตั้งครรภ์ในวัยรุ่น รวมถึงปัญหาของผู้คนในสังคมด้วยตัวเอง
ทั้งนี้ ยังร่วมสังเกตการณ์การทำงานของเจ้าหน้าที่คลินิกวัยรุ่น, กลุ่มเคียงริมโขง, มูลนิธิศูนย์เพื่อน้องหญิง, กองร้อยนำส้ม, สภาแม่หญิงเชียงของ และน้องๆ วัยรุ่นชาติพันธุ์ ชุมชนเผ่าม้ง เพื่อสนับสนุนงานการส่งเสริมสิทธิสุขภาพทางเพศ ความเสมอภาคทางเพศ การยุติความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศ และการสนับสนุนการพัฒนามนุษย์ตลอดทุกช่วงวัย
โดย คริสติน่า เผยว่า “ในฐานะ Champion of UNFPA คนแรกของไทย ติ๊นาได้มีโอกาสลงพื้นที่ปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือสังคม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนของ อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นสถานที่ค่อนข้างมีความเปราะบาง ด้วยเป็นอำเภอที่อยู่ติดกับประเทศเพื่อนบ้าน และมีความหลากหลายของชาติพันธุ์ จึงมีปัญหาที่ค่อนข้างเปราะบาง การเดินทางครั้งนี้ ติ๊นาได้มีโอกาสรับรู้ถึงปัญหามากมายที่เกิดขึ้น และยังได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้ที่ถูกกระทำ เพื่อถามไถ่ถึงสิ่งที่ยังต้องการความช่วยเหลือ
และติ๊นาเองตั้งใจช่วยเหลืออย่างเต็มที่ พร้อมกับทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงที่มีความหมายในการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน และส่งมอบกำลังใจให้ผู้ถูกกระทำความรุนแรง ติ๊นาเชื่อว่า ทุกคนต่างต้องการโอกาส เพื่อที่จะเป็นกำลังในการขับเคลื่อนสังคม และก้าวไปเป็นดวงดาวที่สวยงามของสังคมต่อไปค่ะ”
อ่านต้นฉบับบนไทยโพสต์
1 of 5

เรื่อง
27 เมษายน 2023
'สภาพแวดล้อมปลอดภัย-ดีต่อสุขภาพ' สิทธิขั้นพื้นฐานสำหรับแรงงานทุกคน
ทุกปีของวันที่ 28 เมษายน ถือเป็น 'วันความปลอดภัยและอาชีวอนามัยสากล' ซึ่งองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ได้เริ่มให้มีการกําหนดวันความปลอดภัยฯ เมื่อปี 2545 เพื่อการรณรงค์ส่งเสริมแนวคิดในการสร้างและก่อให้เกิดวัฒนธรรมความปลอดภัยและอาชีวอนามัยอย่างยั่งยืน
Keypoint:
วันความปลอดภัยและอาชีวอนามัยสากล รณรงค์เพื่อสร้างความยั่งยืนในการทำงาน พร้อมทั้งระลึกถึงแรงงานผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บนานาชาติ
การมีสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ปลอดภัยและดีต่อสุขภาพเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานสำหรับแรงงาน
เมื่อแรงงานรู้สึกปลอดภัยและมีสุขภาพดีในที่ทำงาน แรงงานมีแนวโน้มจะสร้างผลิตภาพและประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น
แนวคิดดังกล่าว เพื่อเป็นวันที่มีการระลึกถึงแรงงาน ซึ่งบรรดาแรงงานในสหรัฐอเมริกาและแคนาดาได้ริเริ่มขึ้นเมื่อปี2532 เพื่อรําลึกถึงคนงานที่เสียชีวิตและบาดเจ็บ โดยกําหนดให้เป็นวันที่ 28 เมษายนของทุกปีสหพันธ์สหภาพแรงงานเสรีนานาชาติ และสมาพันธ์สหภาพแรงงานโลก ได้ขยายผลของกิจกรรมนี้ในระดับโลก
โดยได้เน้นการรณรงค์เพื่อความยั่งยืนในการทํางาน เป็นวันระลึกถึงแรงงานผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บนานาชาติ (International Commemoration Day for Dead and Injured Workers) ได้กลายเป็นวันสําคัญในประเทศต่าง ๆ มากกว่า 100 ประเทศ จึงนับว่าวันความปลอดภัยและอาชีวอนามัยสากล
ทั้งนี้ เพื่อการฉลองวันความปลอดภัยและอาชีวอนามัยสากล ชิโฮโกะ อาซาดะ มิยากาวะ ผู้อำนวยการองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ชี้ให้เห็นว่าการมีสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ปลอดภัยและดีต่อสุขภาพเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานสำหรับแรงงานเป็นเรื่องสำคัญ และมีสิ่งใดบ้างที่เราสามารถทำให้สิทธิดังกล่าวเกิดขึ้นจริงได้
อุบัติเหตุ-ความสูญเสียเกิดขึ้นต่อแรงงานทุกวัน
เป็นเวลาสิบปีแล้วที่เกิดเหตุโศกนาฎกรรม อาคารรานา พลาซ่า (Rana Plaza) ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงธากา ประเทศบังกลาเทศถล่ม ในวันนั้นมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 1,132 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าและผู้บาดเจ็บกว่า 2,500 คน
โศกนาฎกรรมดังกล่าวได้รับความสนใจทั่วโลกและนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม ในขณะที่หายนะเช่น Rana Plaza เป็นข่าวใหญ่ อุบัติเหตุและการเสียชีวิตยังคงเกิดขึ้นในที่ทำงานทั่วทุกประเทศทุกวัน
อันที่จริงแล้ว ในทุก ๆ ปี มีผู้หญิงและผู้ชายราว 2.9 ล้านคนทั่วโลกเสียชีวิตจากอุบัติเหตุหรือโรคจากการทำงานซึ่งหมายความว่า จะมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 8,000 คนต่อวัน
ความสูญเสียที่เกิดขึ้นนั้นมีมูลค่ามหาศาล ทั้งในแง่ของความโศกเศร้าและความทุกข์ยากที่เกิดขึ้นต่อบุคคล ตลอดจนความสูญเสียทางเศรษฐกิจ
ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2565 องค์การแรงงานระหว่างประเทศได้ดำเนินการครั้งสำคัญเมื่อมีการพิจารณาให้การมีสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัยและดีต่อสุขภาพเป็นหนึ่งในสิทธิขั้นพื้นฐานภายใต้ปฏิญญาว่าด้วยหลักการและสิทธิขั้นพื้นฐานในการทำงาน
ทำไม? เรื่องสภาพแวดล้อมในที่ทำงานจึงสำคัญ
เรื่องนี้สำคัญก็เพราะว่าในวันนี้ความปลอดภัยและอาชีวอนามัยไม่ใช่เรื่องที่เป็นตัวเลือกอีกต่อไปแล้ว ประเทศสมาชิกของ ไอแอลโอ ทั้งหมด 186 ประเทศมีพันธกรณีที่ต้องเคารพ ส่งเสริม และบรรลุการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัยและที่ดีต่อสุขภาพในฐานะหลักการและสิทธิขั้นพื้นฐานในการทำงาน โดยไม่คำนึงว่าประเทศสมาชิกจะให้สัตยาบันอนุสัญญาองค์การระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยและอาชีวอนามัยหรือไม่
ประการแรกและสำคัญที่สุด ไอแอลโอ ตระหนักว่าแรงงานทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับการคุ้มครองจากอันตรายและความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจก่อให้เกิดการบาดเจ็บ เจ็บป่วยหรือเสียชีวิตในที่ทำงาน
โดยการกำหนดให้ความปลอดภัยและอาชีวอนามัย (OSH) เป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน ไอแอลโอ กำลังสร้างความเข้าใจกับรัฐบาลและนายจ้างถึงหน้าที่และความรับผิดชอบในการสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ปลอดภัยและดีต่อสุขภาพสำหรับแรงงานทุกคน
จากการวิเคราะห์ต้นทุนและประโยชน์ที่จัดทำขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ โดยสำนักงานเลขาธิการอาเซียนว่าด้วยความปลอดภัยและอาชีวอนามัยในการทำงานในภาคการก่อสร้างพบว่าการคุ้มครองสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของแรงงานไม่ใช่เพียงแค่ความจำเป็นทางคุณธรรม แต่เป็นเรื่องของการดำเนินธุรกิจที่ดีด้วยเช่นกัน
เมื่อแรงงานรู้สึกปลอดภัยและมีสุขภาพดีในที่ทำงาน แรงงานมีแนวโน้มจะสร้างผลิตภาพและประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อแรงงาน นายจ้าง ตลอดจนเศรษฐกิจในวงกว้าง ในทางกลับกัน เมื่อแรงงานได้รับบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยเนื่องจากอันตรายจากการทำงาน อาจส่งผลเสียอย่างมากต่อผลิตภาพแรงงานและการเติบโตทางเศรษฐกิจ
"การกำหนดให้ความปลอดภัยและอาชีวอนามัยในการทำงานเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานส่งเสริมความยุติธรรมทางสังคมและความเท่าเทียม สิ่งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งโดยเฉพาะต่อแรงงานในชุมชนชายขอบซึ่งอาจมีความเสี่ยงต่ออันตรายจากการทำงานที่สูงกว่า เนื่องจากปัจจัยต่างๆ เช่น ความยากจน การเลือกปฏิบัติ และการขาดการเข้าถึงการศึกษา การอบรม และการบริการด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัยในการทำงาน"
นอกจากนี้ยังมีความสำคัญในแง่ของการทำให้เกิดการปฏิบัติตามกฎระเบียบและมาตรฐานด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัยในการทำงานซึ่งจะนำไปสู่สภาพการทำงานที่ดีขึ้นและผลลัพธ์ด้านสุขภาพที่ดีขึ้นสำหรับแรงงานตามลำดับ
ในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ความก้าวหน้าในการดำเนินการด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัยเกิดขึ้นในหลายด้าน มีการให้สัตยาบันอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัยในการทำงานหลายฉบับ ในขณะเดียวกันมีนโยบาย กฎหมาย และโครงการด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัยระดับชาติเกิดขึ้นใหม่ทั่วทั้งภูมิภาค มีการดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ เพื่อรับรองว่าว่าจะไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เช่น มีความพยายามเข้าถึงแรงงานที่ทำงานด้านสุขาภิบาลและการนำขยะกลับมาใช้ใหม่ (recycle) ในภูมิภาคเอเชียใต้ รวมถึงวิสาหกิจขนาดเล็กที่สุดและแรงงานนอกระบบในกลุ่มประเทศอาเซียน นอกจากนี้ มีการยกระดับศักยภาพของพนักงานตรวจแรงงานที่เป็นด่านหน้าในการดำเนินงานในการรับรองว่าสถานที่ทำงานมีความปลอดภัยและดีต่อสุขภาพ
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นกิจกรรมที่สำคัญซึ่งต้องได้รับการชื่นชมและสนับสนุน อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ความปลอดภัยและอาชีวอนามัยในการทำงานเกิดขึ้นจริงในชีวิตการทำงานประจำวันสำหรับแรงงานทุกคน จึงต้องดำเนินการควบคู่ไปพร้อมกับหลักการและสิทธิขั้นพื้นฐานในการทำงานเรื่องอื่นๆ ของไอแอลโอ ซึ่งได้แก่ เสรีภาพในการสมาคมและการเจรจาต่อรองร่วมกัน การขจัดแรงงานบังคับและแรงงานเด็ก ตลอดจนการยุติการเลือกปฏิบัติในโลกของการทำงาน
สร้างการส่วนร่วม-วัฒนธรรมเชิงป้องกันในที่ทำงาน
การมีส่วนร่วมของทั้งนายจ้างและลูกจ้างผ่านการเจรจาทางสังคมและความร่วมมือในสถานที่ทำงานเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อสร้างวัฒนธรรมเชิงป้องกันด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัยที่ดีในการทำงาน
เสรีภาพในการสมาคมและการเจรจาต่อรองร่วมกันช่วยให้แรงงานจัดตั้งและเจรจาต่อรองเพื่อสภาพการทำงานที่ดีขึ้น รวมถึงความปลอดภัยและสุขภาพ หากไม่มีสิทธิแรงงานขั้นพื้นฐานต่างๆ เหล่านี้ แรงงานอาจไม่สามารถขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงให้กับตนเองได้ และอาจเสี่ยงต่อการถูกแสวงหาประโยชน์และการปฏิบัติมิชอบ
สหภาพแรงงาน มีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้ ในการเป็นกระบอกเสียงให้กับแรงงาน ตลอดจนจัดฝึกอบรมแรงงานในเรื่องความปลอดภัยและอาชีวอนามัยในการทำงานเบื้องต้น
ขณะเดียวกัน คณะกรรมการความปลอดภัยและอาชีวอนามัยในการทำงานในสถานประกอบการ เช่น คณะกรรมการฯ ที่จัดตั้งขึ้นในอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มในอินโดนีเซีย รวมถึงภาคอุตสาหกรรมเสื้อผ้าในบังคลาเทศ เปิดโอกาสให้แรงงานและนายจ้างสามารถร่วมกันจัดการแก้ไขปัญหาด้านความปลอดภัยและสุขภาพโดยเท่าเทียมกัน
การใช้แรงงานบังคับและการใช้แรงงานเด็ก ตลอดจนการเลือกปฏิบัติในเรื่องเพศ อายุ สถานะของแรงงานข้ามชาติ การจ้างงาน และการประกอบอาชีพล้วนเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับความปลอดภัยและสุขภาพในสถานที่ทำงาน เว้นแต่ปัญหาเหล่านี้จะได้รับการจัดการแก้ไขไปพร้อมกัน ผู้ชาย ผู้หญิง ผู้สูงอายุ เยาวชน และผู้ที่มีความเปราะบาง ก็ยังคงเผชิญกับสภาพการทำงานที่อันตราย ซึ่งอุบัติเหตุเป็นเรื่องที่พบได้โดยทั่วไปและการคุ้มครองทางสังคมเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก
สภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัยและที่ดีต่อสุขภาพเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานสำหรับแรงงานทุกคน รัฐบาล นายจ้าง สหภาพแรงงาน ตลอดจนบริษัทต่างๆ ในทุกระดับของห่วงโซ่อุปทานต้องทำงานร่วมกันเพื่อทำให้สิทธิแรงงานดังกล่าวเกิดขึ้นจริง
"เราทุกคนสามารถสร้างให้สิทธิแรงงานดังกล่าวเกิดขึ้นได้ผ่านความมุ่งมั่นร่วมกัน ความพยายามร่วมกัน และใช้วิธีการดำเนินการแบบองค์รวม ซึ่งเป็นแนวทางที่ตระหนักและส่งเสริมสิทธิแรงงานขั้นพื้นฐานและช่วยสร้างความยุติธรรมทางสังคมและงานที่มีคุณค่าสำหรับทุกคน"
อ่านข่าวต้นฉบับบได้จากกรุงเทพธุรกิจ
แท็กที่เกี่ยวข้อง: สุขภาพ แรงงาน ปลอดภัย สิทธิขั้นพื้นฐาน สภาพแวดล้อม อาชีวอนามัย
1 of 5

เรื่อง
15 กันยายน 2023
3 ประเด็นต้องจับตาเปิดฉากประชุมผู้นำโลก UNGA ครั้งที่ 78
เริ่มแล้วที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา วงถกผู้นำประเทศสมาชิกยูเอ็นทั้ง 193 ประเทศ รวมทั้งผู้นำไทย ในเวทีประชุมสมัชชาสหประชาชาติ UN General Assembly ครั้งที่ 78 (UNGA78) ซึ่งในช่วงสัปดาห์ผู้นำ (high-level week) ระหว่างวันที่ 18-26 กันยายนนี้ จะมีวาระสำคัญหลายประเด็น โดยข้อสรุปจากทุกเวที UNGA จะส่งผลต่อทิศทางการวางนโยบายการพัฒนาของประเทศต่าง ๆ และการใช้ชีวิตประจำวันของพวกเราทุกคนด้วย โดยจะมี 3 ประเด็นสำคัญที่คนไทยควรจับตามองในการประชุม UNGA ดังนี้
1. การประชุม SDG Summit วันที่ 18-19 กันยายน - ปรับแผน SDGs กันใหม่ เพื่อหมุดหมายความยั่งยืนในปี 2030
วิกฤติต่าง ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ผนวกกับภัยพิบัติธรรมชาติ ความขัดแย้ง การชะลอตัวทางเศรษฐกิจ และผลกระทบจากโควิด-19 ส่งผลให้ความคืบหน้าของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนมีแนวโน้มที่จะถดถอยลง โดยนับตั้งแต่ปี 2015 ที่ทุกประเทศสมาชิกประกาศรับรอง SDGs เป็นเป้าหมายการพัฒนาระดับโลก มีการดำเนินการเพียง 12 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่เป็นไปตามเป้าหมาย
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผู้นำจากทั่วโลกจึงจะมารวมตัวกัน เพื่อแสดงจุดยืน ความกระตือรือร้น และความมุ่งมั่นต่อวิสัยทัศน์แห่งอนาคตและการลงมือทำ ณ การประชุม SDG Summit ในเดือนกันยายนนี้ ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการเร่งการดำเนินการตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ทั้ง 17 ประการและรับประกันว่าจะไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
สำหรับประเทศไทยเอง มีรายงานว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี จะแสดงจุดยืนตามนโยบายรัฐบาลในการเชื่อมโยงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 - 2570) กับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ใน 3 หัวข้อหลัก คือการลดความเหลื่อมล้ำ การส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและการมีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี รวมถึงสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
2. การประชุม Climate Ambition Summit วันที่ 20 กันยายน 2023 - ทุกภาคส่วนทั่วโลกร่วมเดินหน้า จัดการวิกฤติสภาพภูมิอากาศ
จากผลวิจัยของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ IPCC แสดงถึงความน่าเป็นห่วงของปัญหาสภาพภูมิอากาศ ซึ่งในปัจจุบัน การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกยังคงอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ นับจากวันนี้และตลอด 30 ปีข้างหน้า ทั่วโลกต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงอย่างจริงจัง เพื่อจำกัดอุณหภูมิโลกไม่ให้ร้อนไปกว่า 1.5 องศาเซลเซียส
การจะแก้ปัญหาที่เร่งด่วนเช่นนี้ได้ จำเป็นจะต้องใช้ความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะจากทางภาครัฐของแต่ละประเทศ ตลอดจนภาคธุรกิจ ภาคประชาสังคมและภาคการเงิน จึงเป็นเหตุให้นายอันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ ตัดสินใจจัดประชุม Climate Ambition Summit 2023 ในวันที่ 20 กันยายน ต่อเนื่องจากการประชุม SDG Summit เพื่อเปิดพื้นที่ให้ผู้เข้าประชุมได้ร่วมหารืออย่างจริงจัง และนำเสนอแนวทางรับมือกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศเชิงสร้างสรรค์ เช่น แนวทางการแก้ปัญหาที่มีธรรมชาติเป็นพื้นฐาน (Nature-Based Solutions) ที่เน้นตอบสนองต่อความเร่งด่วนของวิกฤตสภาพภูมิอากาศ
การประชุม Climate Ambition ครั้งนี้ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญทางการเมือง ที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่ทั่วโลกจะร่วมกันรับมือกับภาวะโลกเดือด และเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคของพลังงานหมุนเวียนที่ผู้คนเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม เป็นที่สังเกตได้จากการแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่มีการพูดถึงการส่งเสริมการผลิต การใช้พลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียน ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางของโลก
3. การประชุม Preparatory Ministerial Meeting for the Summit of the Future วันที่ 21 กันยายน - เตรียมพร้อมงานใหญ่ Summit of the Future 2024 เสริมพลังความร่วมมือระดับพหุภาคี
แรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ระดับโลกในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการระบาดใหญ่ของโควิด-19 การปะทุขึ้นของสงครามยูเครน และวิกฤตหลัก 3 ประการ (Triple Planetary Crisis) ที่กำลังคุกคามโลกของเรา ทั้งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปัญหามลพิษ และวิกฤติการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ
ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของความท้าทายที่นานาประเทศและองค์การระหว่างประเทศต้องเดินหน้าจัดการอย่างเร่งด่วน สมัชชาสหประชาชาติจึงตัดสินใจที่จะจัดเวทีการประชุม “Preparatory Ministerial Meeting for the Summit of the Future” ขึ้นที่ UNGA ครั้งที่ 78 นี้ เพื่อให้ผู้แทนประเทศและผู้มีอำนาจตัดสินใจได้มาร่วมประชุมกำหนดวาระสำคัญสำหรับการประชุม “Summit of the Future” (ชื่อเต็ม Summit of the Future: Multilateral Solutions for a Better Tomorrow) ที่กำหนดจะจัดในวันที่ 22-23 กันยายน 2024 (ปีหน้า) เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ การยึดถือธรรมาภิบาลโลก ความมุ่งมั่นในการไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) และกฎบัตรสหประชาชาติ
ทั้ง 3 ประเด็นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการประชุม UNGA ในปีนี้ ยังมีการประชุมย่อยอื่น ๆ อีกหลายเวทีที่มุ่งเป้าไปที่วาระสำคัญแตกต่างกัน ผู้สนใจสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์หลัก General Assembly High-level Week 2023
รายละเอียดเพิ่มเติม
SDG Summit ปรับแผน SDGs กันใหม่ เพื่อหมุดหมายความยั่งยืนในปี 2030
วันประชุม: 18 และ 19 กันยายน 2023
ติดตาม การประชุมแบบ Live: UN Web TV
เว็บไซต์หลักการประชุม: SDG Summit
Climate Ambition Summit 2023 ทุกภาคส่วนทั่วโลกร่วมเดินหน้า จัดการวิกฤติสภาพภูมิอากาศ
วันประชุม: 20 กันยายน 2023
ติดตาม การประชุมแบบ Live: UN Web TV
เว็บไซต์หลักการประชุม: Climate Ambition Summit 2023
Preparatory Ministerial Meeting for Summit of the Future เตรียมพร้อมงานใหญ่ 2024 เสริมพลังความร่วมมือระดับพหุภาคี
วันประชุม: 21 กันยายน 2024
ติดตาม การประชุมแบบ Live: UN Web TV
เว็บไซต์หลักการประชุม: Summit of the Future 2024
เรื่อง/เรียบเรียง ทัตพร นาคการะสิน, มิ่งขวัญ รัตนคช, อภิสรา ศิลป์สว่าง
1 of 5

เรื่อง
31 พฤษภาคม 2023
วันงดสูบบุหรี่โลก พ.ศ. 2566 “เราต้องการอาหาร ไม่ใช่บุหรี่”
วันงดสูบบุหรี่โลกซึ่งตรงกับวันที่ 31 พฤษภาคมของทุกปี ในปี 2566 นี้ประเด็นรณรงค์ คือ “เราต้องการอาหาร ไม่ใช่บุหรี่” การสูบบุหรี่นั้นนอกจากจะเป็นภัยคุกคามด้านสาธารณสุขของประเทศไทยแล้ว ในขณะเดียวกันการปลูกใบยาสูบก็ยังส่งผลกระทบในทางลบต่อเกษตรกร ต่อความมั่นคงทางอาหาร และต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
ประมาณการว่า ประชากรในประเทศไทย 1 ใน 10 คนไม่สามารถเข้าถึงอาหารที่เพียงพอได้ ในขณะที่พื้นที่เกษตรกรรมยังคงถูกใช้เพื่อปลูกใบยาสูบต่อไป ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตใบยาสูบที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองในภูมิภาคอาเซียนและเป็นอันดับที่ 16 ในโลก
ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระบุว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตด้านความมั่นคงทางอาหารถึงแม้จะเป็นผู้ส่งออกอาหารรายใหญ่อันดับที่ 13 ของโลก รายงานสถานะความมั่นคงทางอาหารและโภชนาการในปี พ.ศ.2565 ซึ่งตีพิมพ์โดยหน่วยงานขององค์การสหประชาชาติระบุไว้ว่า ประชากรไทย ร้อยละ 10.5 กำลังเผชิญกับความไม่มั่นคงทางอาหารในระดับรุนแรง (กล่าวคือ ไม่มีอาหารรับประทานเป็นเวลาหนึ่งวันหรือมากกว่านั้น) นอกจากนั้น เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนเป้าหมายที่สอง (SDG 2: ยุติความหิวโหย) เป็นหนึ่งในสองของเป้าหมายการพัฒนาที่ยังยืนที่มีการถดถอยลงในประเทศไทย
ผลกระทบของการปลูกใบยาสูบต่อเกษตรกร ครอบครัวและสิ่งแวดล้อม
เกษตรกรผู้ปลูกใบยาสูบจะมีความเปราะบางเป็นพิเศษต่อความไม่มั่นคงทางอาหารเนื่องจากไม่สามารถบริโภคผลผลิตที่ปลูกเป็นอาหารได้ นอกจากนี้การปลูกใบยาสูบมักจะมีกำไรน้อยกว่าเมื่อเทียบกับผลผลิตทางการเกษตรอื่นๆ เพราะเกษตรกรต้องลงทุนสูงกว่าทั้งในด้านแรงงาน สารเคมีกำจัดศัตรูพืชและเชื้อเพลิงสำหรับการบ่มใบยา ข้อมูลจากประเทศฟิลิปปินส์แสดงให้เห็นว่า รายได้สุทธิต่อพื้นที่ขนาด 1 เฮกตาร์ (6.25 ไร่) สำหรับการปลูกใบยาสูบพันธุ์เวอร์จิเนีย คือ 1,147 เหรียญสหรัฐ ซึ่งต่ำกว่ารายได้จากการปลูกกระเทียม (1,730 เหรียญสหรัฐ) หรือมะเขือ (2,041 เหรียญสหรัฐ) ในประเทศอินโดนีเซีย เกษตรกรผู้ปลูกใบยาสูบต้องทุ่มเทเวลาในการทำงานถึง 1,363 ชั่วโมงต่อเฮกตาร์ (6.25 ไร่) ต่อปี ในทางกลับกัน เกษตรกรที่ไม่ได้ปลูกใบยาสูบจะทำงานเพียง 197 ชั่วโมงต่อเฮกตาร์ (6.25 ไร่) ซึ่งทำให้สามารถจัดสรรเวลาเพิ่มขึ้นในการทำกิจกรรมสร้างเสริมรายได้อื่นๆ
นอกจากนั้น เกษตรกรผู้ปลูกใบยาสูบและครอบครัวยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงด้านสุขภาพซึ่งก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายที่เลี่ยงไม่ได้ แทนที่จะใช้เงินซึ่งมีจำกัดส่วนนั้นไปซื้ออาหารที่มีประโยชน์
มีงานศึกษาวิจัยเปิดเผยว่า เกือบหนึ่งในสี่ (ร้อยละ 22.6) ของเกษตรกรผู้ปลูกใบยาสูบในจังหวัดน่าน ซึ่งอยู่ทางภาคเหนือของประเทศไทยป่วยเป็นโรคพิษใบยาสูบสด (เกิดจากการดูดซึมนิโคตินที่ละลายอยู่ในน้ำบนใบยาสูบสด
เมื่อเก็บเกี่ยวใบยา) ความชุกของโรคนี้สูงกว่าในเกษตรกรเพศหญิง (ร้อยละ 27.5) เมื่อเทียบกับเพศชาย (ร้อยละ 17.9)
การปลูกใบยาสูบในประเทศไทย นั้นพบได้ใน 20 จังหวัดทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งอัตราความยากจนสูงกว่าค่าเฉลี่ยระดับประเทศ งานวิจัยล่าสุดซึ่งศึกษาเกษตรกรผู้ปลูกใบยาสูบเกือบ 3,000 รายในภาคเหนือพบว่าเกือบ ร้อยละ 60 อยากเลิกปลูกใบยาสูบด้วยเหตุผลหลักด้านเศรษฐกิจ เกษตรกรผู้ปลูกใบยาสูบมักพบว่ารายได้ของพวกเขาต่ำกว่าต้นทุนการผลิต ซึ่งนำไปสู่ความเดือดร้อนทางการเงิน หนี้สินที่ไม่จบสิ้นและคุณภาพชีวิตที่ต่ำกว่ามาตรฐาน
โดยสรุปแล้วเกษตรกรผู้ปลูกใบยาสูบเผชิญกับความเสี่ยงด้านอาหาร สุขภาพและความยากจน
นอกจากนี้ การปลูกใบยาสูบยังทำลายสิ่งแวดล้อมเนื่องจากการใช้สารกำจัดศัตรูพืชในปริมาณสูง การตัดไม้ทำลายป่า และการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ สารเคมีจากสารกำจัดศัตรูพืชที่ใช้ในการเพาะปลูกสามารถหลุดรอดลงสู่แหล่งน้ำตามธรรมชาติ ซึ่งทำให้ทะเลสาบ แม่น้ำและน้ำดื่มปนเปื้อนได้ นอกจากนั้นยังมีการตัดต้นไม้ และถางพื้นที่ป่าเพื่อทำเป็นไร่ยาสูบ ซึ่งส่วนนี้นำไปสู่การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
การช่วยเหลือให้เปลี่ยนไปปลูกพืชทดแทนใบยาสูบ
ทั่วโลกมีความพยายามที่จะช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกใบยาสูบให้หันไปปลูกพืชผลทางการเกษตรอื่นๆ ตัวอย่างเช่น ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2547 รัฐบาลของประเทศมาเลเซียได้สนับสนุนเกษตรกรผู้ปลูกใบยาสูบให้ปลูกต้นปอแก้ว ซึ่งใช้ในการผลิตโภคภัณฑ์ต่างๆ เช่น กระดาษ ผ้าและเชื้อเพลิงชีวภาพ จำนวนเกษตรกรผู้ปลูกใบยาสูบลดลงอย่างมาก จาก 20,000 รายเป็น 100 รายในปีพ.ศ. 2565 อีกหนึ่งตัวอย่างคือ ประเทศฟิลิปปินส์ได้ออกกฏหมายที่กำหนดว่า ส่วนหนึ่งของภาษีบุหรี่จะถูกนำไปใช้เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกใบยาสูบที่อาจได้รับผลกระทบในด้านลบจากยอดขายบุหรี่ที่ตกต่ำลง
องค์การอนามัยโลกให้ความช่วยเหลือ และติดตามการดำเนินงานของประเทศไทยตามกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก (WHO FCTC) ซึ่งเป็นข้อตกลงทางกฎหมายในระดับนานาชาติที่ประเทศไทยได้ลงนามไปเมื่อปีพ.ศ. 2547
ประเด็นรณรงค์ของวันงดสูบบุหรี่โลกประจำปีนี้ สอดคล้องกับ ข้อกำหนดที่ 17 และ 18 ของกรอบอนุสัญญาฯ ซึ่งเน้นว่าประเทศสมาชิกที่ลงนาม ต้องให้การสนับสนุนเกษตรกรผู้ปลูกใบยาสูบ โดยการให้คำแนะนำทางวิชาการเรื่องพืชเศรษฐกิจทางเลือกที่ยั่งยืน โดยเชื่อมโยงเกษตรกรให้เข้าถึงสิ่งจำเป็นต่างๆ และการตลาด ตลอดจนให้ความช่วยเหลือทางการเงินเพื่อเพิ่มการผลิตอาหารที่มีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพ
การสร้างให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกอย่างยั่งยืนนั้นจำเป็นต้องมีการทำงานร่วมกับชุมชนและเสริมสร้างพลังชุมชน โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติได้ทำงานโดยสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนและส่งเสริมให้มีการสร้างหรือพัฒนาศักยภาพของชุมชนท้องถิ่น ตลอดจนสร้างโอกาสให้มีการลงทุนในการเกษตรและระบบการผลิตอาหารที่ยั่งยืน โดยการทำงานในลักษณะนี้ เราจะสามารถบูรณาการความช่วยเหลือให้เกิดอาชีพทางเลือกและความมั่นคงทางอาหารแก่เกษตรกรผู้ปลูกยาสูบได้
นอกจากนี้องค์การอนามัยโลกและโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติได้ร่วมกันตีพิมพ์เอกสารเรื่อง “เหตุผลสนับสนุนการลงทุนในมาตรการเพื่อการป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อเรื้อรังในประเทศไทย” ซึ่งหนึ่งในข้อเสนอแนะคือ การจัดสรรงบประมาณจากการเก็บภาษีผลิตภัณฑ์บุหรี่เพื่อช่วยเหลืออาชีพทางเลือกให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกใบยาสูบ
ประเทศไทยมีประวัติที่โดดเด่นในเรื่องการปลูกพืชทดแทน โครงการหลวงซึ่งได้ริเริ่มขึ้นในปีพ.ศ. 2512 โดยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้ประสบความสำเร็จในการส่งเสริมให้กว่า 40,000 ครัวเรือนที่เคยปลูกฝื่นหันมาปลูกพืชทดแทน เช่น กาแฟ ชา ผลไม้และผักต่าง ๆ ข้อมูลจากมูลนิธิเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศไทยระบุว่า รายได้เฉลี่ยของผู้ที่เคยปลูกฝิ่นและหันมาปลูกพืชทดแทนเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่า ระหว่างปีพ.ศ. 2528 และพ.ศ. 2558 การปลูกฝิ่นลดลงถึง 97% และไม่มีการกลับมาปลูกอีก
มีโครงการมากมายที่ศึกษาและทดลองการปลูกพืชทดแทนใบยาสูบในประเทศไทย ซึ่งรวมถึงโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
ดร. อิศรา ศานติศาสน์ ประธานมูลนิธิสร้างสุขมุสลิมไทยกล่าวว่า ภายใต้โครงการนี้มี 91 ครัวเรือนและ 16 ชุมชนที่ได้หันมาปลูกพืชผลทางเกษตรอื่นๆทดแทนใบยาสูบอย่างสิ้นเชิงและมีรายได้อย่างเพียงพอ
เกษตรกรผู้ปลูกใบยาสูบสมควรที่จะมีรายได้สูงขึ้น อยู่ในสภาวะแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัยขึ้น และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เนื่องในวันงดสูบบุหรี่โลกในปีนี้ ขอเรียกร้องให้รัฐบาลมีนโยบาย และตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนในการสนับสนุนอาชีพทางเลือกที่ยั่งยืนสำหรับเกษตรกรผู้ปลูกใบยาสูบซึ่งจะทำ ให้พวกเขาเปลี่ยนมาปลูกพืชผลทางการเกษตรอื่นๆที่ไม่ใช่ใบยาสูบ ซึ่งในท้ายที่สุดแล้วจะนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน การเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหาร และการส่งเสริมให้เกิดสุขภาพที่ดีขึ้นในประเทศไทย
1 of 5

เรื่อง
26 พฤษภาคม 2023
วิศวกรทหารไทยผู้อาสาเข้าร่วมภารกิจ UN เพื่อสร้างเส้นทางสู่สันติภาพในซูดานใต้
หลังจากรับราชการในกองทัพบกเป็นเวลา 6 ปี ร้อยเอกเศรษฐวิทย์ ชาญสุข ผู้บังคับกองร้อยทหารช่างวัย 29 ปี ที่เรียนจบด้านวิศวกรรมโยธา ได้ออกประจำการในภารกิจรักษาสันติภาพของสหประชาชาติในประเทศซูดานใต้ (United Nations Mission in South Sudan หรือ UNMISS)
ในบทสัมภาษณ์นี้ ร้อยเอกเศรษฐวิทย์ จะมาบอกเล่าถึงความสำคัญของภารกิจรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ และอธิบายว่า การทำงานด้านวิศวกรรมมีบทบาทสำคัญในการสร้างสันติภาพที่ยั่งยืนให้กับประเทศเกิดใหม่ล่าสุดของโลกแห่งนี้อย่างไร
ช่วยเล่าเกี่ยวกับงานของคุณที่ UNMISS และประโยชน์ที่คุณได้ทำในซูดานใต้
“ในฐานะที่ผมเป็นผู้บังคับการด้านวิศวกรรมจากประเทศไทยที่มาประจำการที่นี่ ผมมองว่างานด้านวิศวกรรมสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่เป็นประโยชน์ให้กับคนในพื้นที่ได้ทันที โดยเฉพาะในปีนี้ (ค.ศ. 2021) ที่เราได้รับโปรเจกต์ที่สำคัญมากในซูดานใต้ ซึ่งก็คือการฟื้นฟูเส้นทางหลักสำหรับการขนส่งที่มีระยะทางยาวกว่า 3,200 กิโลเมตร ทั่วซูดานใต้ในช่วงหน้าแล้ง โดยโปรเจกต์นี้ดำเนินการโดยกลุ่มวิศวกรทหารของ UNMISS จาก 7 ประเทศ และกลุ่มวิศวกรไทยก็มีส่วนสำคัญอย่างมากที่ช่วยให้โปรเจกต์นี้บรรลุเป้าหมายได้ แม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 จะชะลอความคืบหน้าของงานลงบ้าง”
“พวกเราได้ซ่อมแซมถนนสายหลักจำนวนมากมาย ซึ่งถนนเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ชาวบ้านสามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาล ค้าขายได้สะดวกขึ้น และทำให้ผู้คนในพื้นที่พบปะติดต่อกันได้มากขึ้น โดยหลังจากที่ดำเนินโปรเจกต์จนเสร็จสิ้น เราเห็นผลของน้ำพักน้ำแรงจากการทำงานได้แทบจะทันที นอกจากนี้ พวกเรายังได้สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนในชุมชน ซึ่งพวกเขาซาบซึ้งมากในความพยายามของวิศวกรทหารทุกคน”
อะไรคือสิ่งที่คุณชอบมากที่สุดในงานที่ทำ
“ผมได้รับการฝึกฝนมาให้เป็นวิศวกร และผมรู้สึกสนุกกับการสร้างถนนมาก เพราะผมเชื่อว่า ถนนหนทางคือหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อสังคมมนุษย์ อย่างไรก็ตาม การก่อสร้างและซ่อมแซมถนนในซูดานใต้นั้นมีความท้าทาย นั่นคือเมื่อเข้าสู่ฤดูฝนแล้ว เส้นทางจำนวนมากที่มีอยู่แต่เดิมจะถูกน้ำฝนตัดขาดและทำให้สัญจรไม่ได้ ซึ่งเมื่อเส้นทางเหล่านี้จะได้รับการซ่อมแซมแล้ว สายสัมพันธ์ระหว่างชุมชนของชาวบ้านในพื้นที่ยังได้รับการฟื้นฟูอีกด้วย”
“นอกจากนี้ ถนนที่พวกเราก่อสร้างซ่อมแซมยังไม่เพียงช่วยให้เหล่าเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพสามารถเข้าถึงผู้คนในพื้นที่ได้อย่างรวดเร็วเพื่อปกป้องพลเรือนที่อาจตกอยู่ในอันตราย แต่ยังทำให้เจ้าหน้าที่ด้านมนุษยธรรมสามารถเข้าให้การช่วยเหลือแก่ชาวบ้านที่เดือดร้อนได้อย่างทันท่วงที งานของพวกเราจึงถือเป็นส่วนสำคัญในการปูเส้นทางสู่สันติภาพที่ยั่งยืนให้แก่ผู้คนในซูดานใต้”
หนึ่งสิ่งที่ได้เรียนรู้นับตั้งแต่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของภารกิจ UNMISS
“สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากการทำภารกิจที่นี่คือ การสร้างสายสัมพันธ์ ไม่ว่าจะกับชาวบ้านในพื้นที่ หรือกับเพื่อนเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพจากหลากหลายประเทศ เพราะทุกโปรเจกต์ของภารกิจ UNMISS ต้องทำงานกันเป็นทีม ผมจึงได้เรียนรู้ว่า การที่ภารกิจรักษาสันติภาพของสหประชาชาติจะสำเร็จได้ ต้องเกิดจากความพยายามร่วมกันของทุกคน ไม่ใช่ของคนใดคนหนึ่งเพียงเท่านั้น”
แปล ภัคพล ผาทอง, เรียบเรียง จีรัชญ์ณา หงษาครประเสริฐ, นฤปนาท เหรัญญะ, ทัตพร นาคการะสิน
1 of 5

เรื่อง
21 สิงหาคม 2023
ระบาดหนัก! ยูเอ็นจับมือชายแดนเมียนมา-ลาว-ไทยเร่งปราบอาชญากรรมข้ามชาติสามเหลี่ยมทองคำ
เชียงราย (12 พฤษภาคม 2566) -- สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (The United Nations Office on Drugs and Crime – UNODC) จับมือกับทางการเมียนมา ลาว และไทยสกัดการลักลอบค้ายาเสพติด สารตั้งต้นที่ใช้ผลิตยาเสพติด สัตว์ป่า ไม้เถื่อน การค้ามนุษย์ และสินค้าผิดกฎหมายชนิดอื่น ๆ ของกลุ่มอาชญากรข้ามชาติในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ หนึ่งในพื้นที่ค้าสิ่งผิดกฎหมายที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2566 หน่วยปฏิบัติการเรือจู่โจมกองทัพเรือไทยสกัดกั้น และรวบยาบ้ากลางแม่น้ำโขงได้กว่า 6,400,000 เม็ด บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ หมู่บ้านสบรวก หมู่ 1 ต.เวียง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ซึ่งคาดว่าลำเลียงผ่านแม่น้ำรวกฝั่งเมียนมาลงมาฟากแม่น้ำโขง
“การเข้าจับกุมคนร้ายพร้อมของกลางกลางลำน้ำไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ปกติแล้วยาเสพติดจำนวนมากขนาดนี้เราจะไปดักจับได้ตอนอยู่บนบก ผมเลยภูมิใจในทีมของเรามาก ที่สามารถปกป้องประเทศและประโยชน์ของชาติไว้ได้” นาวาเอกภากร มาเนียม หัวหน้าฝ่ายยุทธการและการข่าวหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำน้ำโขงกองทัพเรือไทย เล่าให้ทีมงานสหประชาชาติฟัง
ห่างออกไปไม่กี่กิโลเมตรตามแม่นำ้โขงที่ “ห้วยทราย” เมืองเล็ก ๆ ในประเทศลาว เจ้าหน้าที่ชายแดนลาวก็เพิ่งรวบแก๊งค้ายาได้สำเร็จ โดยยึดของกลางเป็นยาไอซ์ได้กว่า 500 กิโลกรัม และในเดือนก่อนชุดปฏิบัติการเดียวกันก็เพิ่งยึดยาบ้าได้กว่า 7.1 ล้านเม็ด
ยาเสพติดทั้งที่พบในลาวและไทยสืบพบว่ามีแหล่งผลิตโดยโรงงานเถื่อนของกลุ่มติดอาวุธและอาชญากรในป่าบนภูเขาห่างไกลทางตอนเหนือของรัฐฉาน ประเทศเมียนมาโดยยาเสพติดเหล่านี้ไม่เพียงถูกขนผ่านลาวและไทยเข้ามายังกรุงเทพฯเท่านั้น แต่ยังถูกส่งไปขายทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประเทศที่มีกำลังซื้อสูงอย่างญี่ปุ่น เกาหลีใต้ นิวซีแลนด์ และออสเตรเลีย
ช่องทางการลักลอบค้ายาเสพติดที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกแห่งหนึ่ง
ข้อมูลจาก UNODC พบมียาเสพติดที่ผลิตในย่านสามเหลี่ยมทองคำเพิ่มขึ้น “อย่างเป็นประวัติการณ์” จึงมีการประสานความร่วมมือระหว่างทางการลาว ไทย และสำนักงาน UNODC สร้างเครือข่ายพัฒนาข่าวกรองระดับภูมิภาคเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด รวมทั้งการลอบนำเข้าสารเคมีตั้งต้นที่ใช้ในการผลิตยาเสพติดจำนวนมหาศาลในแต่ละปี ซึ่งเกี่ยวข้องกับขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติในพื้นที่ที่ลักลอบค้าไม้ซุง อาวุธ สัตว์ป่า หรือแม้แต่มนุษย์ด้วย
นายเจเรมี ดักลาส ผู้แทน UNODC ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก เล่าถึงความท้าทายในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำว่า “ปัญหาด้านธรรมาภิบาลที่ซับซ้อนในพื้นที่และในเมียนมาจากกลุ่มกองกำลังติดอาวุธ ทำให้การปราบปรามยาเสพติดเป็นไปอย่างยากลำบาก กลุ่มอิทธิพลเหล่านี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติดและธุรกิจผิดกฎหมายอื่น ๆ ด้วย”
“การจะแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติได้ต้องอาศัยความร่วมมือกันของทุกฝ่าย โดยแต่ละประเทศจะต้องมีมาตรการรับมือกับปัญหาที่รวดเร็วและทันท่วงทีที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามพื้นที่ชายแดน หรือตามช่องทางธรรมชาติที่ไม่มีเจ้าหน้าที่ดูแลประจำ” นายเจเรมีกล่าว
ปัจจุบันทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีเครือข่ายของสำนักงานประสานงานและปราบปรามยาเสพติดบริเวณชายแดน หรือ BLO ภายใต้โครงการบริหารจัดการชายแดนระดับภูมิภาคกระจายตัวอยู่กว่า 120 แห่ง ครอบคลุมประเทศต่าง ๆ อาทิเมียนมาร์ จีน อินโดนีเซีย ไทย กัมพูชา และเวียดนาม เป็นผลให้หน่วยงานปราบปรามอาชญากรรมของทั้งสองประเทศลาว-ไทยสามารถร่วมมือกันแก้ไขปัญหาได้อย่างใกล้ชิดและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
นอกจากนั้น ที่สำนักงาน BLO มีการจัดฝึกอบรมเพื่อเพิ่มขีดความสามารถและทักษะใหม่ ๆ ให้เจ้าหน้าที่ประจำชายแดนแต่ละประเทศสามารถรับมือกับความท้าทายในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและได้มาตรฐานสากล
เจ้าหน้าที่ ก (นามสมมติ) ซึ่งประจำอยู่ที่ห้วยทรายกับกับสำนำงาน BLO ทางการฝั่งลาว กล่าวว่าการร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ชายแดนไทย ไม่ว่าจะผ่านการโทรประสานงาน การประชุม หรือการหารือร่วมกันช่วยให้ทั้งสองประเทศปราบปรามการลักลอบค้าสิ่งผิดกฏหมายกฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น “ความร่วมมือข้ามพรมแดนและการแบ่งปันข้อมูล ยังทำให้เราสามารถยับยั้งการลักลอบค้ายาเสพติด รวมถึงอาชญากรรมข้ามชาติประเภทอื่น ๆ ได้ด้วย”
พันตำรวจโท อมรรัตน์ วัฒนโฆสิต ครูฝึกภาคปฏิบัติที่ฝึกสอนการตรวจค้นยานพาหนะที่บรรทุกสินค้าผิดกฎหมาย ทำงานใกล้ชิดกับสำนักงาน BLO ที่ชายแดนไทย-เมียนมา เล่าว่า “เจ้าหน้าที่ของเรานำความรู้จากการฝึกอบรมของ UNODC มาใช้เวลาซักถามคนขับรถที่ด่านตรวจ ตอนนี้เจ้าหน้าที่แต่ละคนก็เริ่มมีความมั่นใจมากขึ้น และสามารถจับทางพฤติกรรมของผู้ต้องสงสัยได้แล้วว่าคนขับรายใดอาจจะซ่อนยาเสพติดหรือสิ่งผิดกฎหมายเอาไว้”
ปัจจุบันเครือข่าย BLO ทำงานเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายและชุมชนในพื้นที่ชายแดน และยังสนับสนุนบทบาทและความเป็นผู้นำของผู้หญิงในหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย อย่าง พ.ต.ท. อมรรัตน์ ซึ่งย้ำระหว่างการสมภาษณ์ว่าหน้าที่ในการกำจัดยาเสพติด "สำคัญมากต่อความมั่นคงของประเทศชาติ” นอกจากนั้น ในบางพื้นที่ BLO จะมีบทบาทในการจัดการการเคลื่อนไหวของผู้ก่อการร้าย ตลอดจนสาธารณสุขและโรคระบาดที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ในพื้นที่ด้วย
Fact Box
การผลิตยาบ้านั้นต่างจากการผลิตเฮโรอีน เพราะในขณะที่เฮโรอีนผลิตจากฝิ่นซึ่งต้องปลูกตามวงจรการเจริญเติบโตตามธรรมชาติ แต่ “ยาบ้า”สามารถผลิตได้ตามต้องการตราบใดที่ยังมีสารเคมีตั้งต้นที่นำมาสังเคราะห์ได้อยู่
แม้จะเป็นที่ทราบกันดีว่ายาเสพติดที่ยึดได้เป็นเพียงส่วนน้อยของยาเสพติดทั้งหมดที่ลักลอบขายและขนย้ายในภูมิภาค แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าความร่วมมือระหว่างรัฐบาลที่เกิดขึ้นโดยการสนับสนุนของสำนักงาน UNODCนั้นเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยสกัดกั้นการไหลเวียนของยาเสพติดในภูมิภาค
UNODC เป็น 1 ใน 21 หน่วยงานของทีม UN ในไทย ที่มุ่งส่งเสริมสันติภาพและความมั่นคงในโลก ผ่านการแก้ไขปัญหายาเสพติด เครือข่ายอาชญากรรม ทุจริตคอร์รัปชัน และการก่อการร้าย
เรื่อง แดเนียล ดิกคินสัน
แปล/เรียบเรียง ทัตพร นาคการะสิน นฤปนาท เหรัญญะ และภัคพล ผาทอง
ภาพ รูน่า อา
1 of 5

เรื่อง
09 พฤษภาคม 2023
นรวัฒน์ ตะเวที มองเห็นอะไรใน 'โลกสองใบ' ของคนพิการทางสายตา
ในอดีตโลกของคนพิการและคนทั่วไปแยกขาดจากกันแทบจะสิ้นเชิง คนพิการไม่เคยรู้ว่าสังคมทั่วไปเป็นยังไง และคนทั่วไปก็ไม่รู้จักโลกของคนพิการ เบส-นรวัฒน์ ตะเวที เข้าใจโลกทั้งสองใบนี้เป็นอย่างดี เพราะเขาเคยมองเห็นได้ปกติ แต่โรคทางพันธุกรรมทำให้เขาสูญเสียการมองเห็นและกลายเป็นคนพิการทางสายตาประเภทเลือนรางตอนอายุ 14 ปี
เบสใช้เวลาไม่นานก็สามารถปรับตัวเข้ากับ ความปกติใหม่ ได้ โดยนอกจากการเรียนในห้องเรียนและมหาวิทยาลัย เบสเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการชมรมเยาวชนตาบอดไทย ที่เขาได้เรียนรู้และส่งต่อทักษะในการใช้ชีวิตให้เพื่อนๆ และพี่น้องคนพิการทางสายตาคนอื่น จากความเข้าใจทั้งมุมมองของคนปกติ และความท้าท้ายของคนพิการ
ทุกวันนี้เทคโนโลยีใหม่ๆ และสังคมที่เปิดกว้างมากขึ้นช่วยทลายข้อจำกัดและสร้างบานประตูแห่งโอกาสให้เห็นว่าจริงๆ แล้วคนพิการมีศักยภาพที่จะทำอะไรได้มากมาย ทั้งในด้านการศึกษา การทำงาน ตลอดจนการใช้ชีวิต เราอยู่ในยุคที่คนปกติและคนพิการสามารถสื่อสาร เชื่อมต่อ และเรียนรู้กันได้ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา เบสจึงมองว่าโลกทั้งสองใบนี้ ควรถูกหลอมรวมเป็นโลกใบเดียวกันของทุกคน
ในฐานะรองประธานชมรมเยาวชนตาบอดไทยที่ทำงานขับเคลื่อนและรณรงค์มานานกว่า 10 ปี เบสได้เข้าเป็นเครือข่ายผู้นำเยาวชน SDGs Youth Panel ที่รวบรวมความคิดเห็นของรุ่นใหม่ส่งต่อให้ผู้นำรุ่นใหญ่ ว่าการพัฒนาประเทศไทยควรเดินหน้าไปทางไหน นอกจากนี้เขายังเข้าร่วมเป็นที่ปรึกษาในการระดมความคิดเห็นจัดทำกรอบแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 โดยเป็นตัวแทนของเยาวชนกลุ่มเฉพาะที่มีสิทธิและเสียงเทียบเท่าทุกคนในสังคมไทย และยังได้ทำงานร่วมกับ UNDP Thailand และ UNFPA Thailand ในช่วงเวลาสำคัญเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของเยาวชนพิการอีกด้วย
ทุกวันนี้ เบสทำงานด้านทรัพยากรบุคคลและฝันอยากเห็นคนพิการมีตำแหน่งงานมากขึ้น ซึ่งความฝันของเขาจะเป็นจริงได้ ต้องเกิดจากการพบกันครึ่งทาง คือคนพิการต้องมีทักษะการทำงานที่ดีขึ้น ในขณะเดียวกันนายจ้างก็ต้องเปิดใจกว้างยอมรับว่าคนพิการอาจจะทำสิ่งต่างๆช้ากว่าคนปกติไปบ้างด้วยข้อจำกัดด้านร่างกาย แต่ในเชิงศักยภาพและความมุ่งมั่นตั้งใจแล้วไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าใครๆ เลย
โลกสองใบของเบส
“ผมเคยเป็นคนที่มองเห็นปกติมาก่อน จนขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่สอง ผมเริ่มมองไม่ชัด อ่านตัวหนังสือไม่เห็น ตอนแรกคิดว่าตัวเองสายตาสั้น เลยไปร้านตัดแว่น ลองใช้เลนส์หมดทุกประเภทแล้วก็ไม่ดีขึ้น จนการมองเห็นกระทบต่อชีวิตประจำวันหนักเข้า ครอบครัวเลยพาไปพบจักษุแพทย์ ได้เจาะเลือดส่งห้องแล็บและพบว่า สิ่งที่ผมเป็นอยู่คือโรคทางพันธุกรรมที่ทำให้เกิดภาวะสายตาเลือนราง ซึ่งไม่ปรากฏในญาติพี่น้องคนไหนเลยในรุ่นที่ผมเกิดทัน”
เบสเล่าว่าจุดเปลี่ยนของชีวิตอย่างสิ้นเชิงคือนาทีที่แพทย์โทรศัพท์มาแจ้งว่า อาการของเขาจะไม่มีวันรักษาหาย และนับจากนี้เขาจะกลายเป็นคนพิการทางสายตา “มันไม่ใช่แค่เรื่องทางกายภาพ การที่ผมสูญเสียการมองเห็น เท่ากับทุกสิ่งทุกอย่างที่ประกอบเป็นตัวตนของผมก็สูญหายไปด้วย จากที่ชอบออกกำลังกาย ชอบเตะฟุตบอล ชอบเล่นเกมส์ ก็ทำไม่ได้อีกต่อไป ผมรู้สึกแปลกแยกจากสังคมที่เป็นอยู่ และเพราะอาการที่เป็นไม่ใช่ตาบอดสนิท มันจึงยากมากที่จะอธิบายว่าผมมองไม่เห็นยังไง บางคนหาว่าผมโกหกบางคนกลั่นแกล้งก็มี”
เมื่อเบสเริ่มปรับตัวให้เข้ากับความพิการที่เกิดขึ้นได้ พร้อมกำลังใจจากคนรอบตัวที่ช่วยให้เขาเข้มแข็งขึ้น เขาก็ตัดสินใจย้ายไปเรียนในโรงเรียนที่มีโครงการเรียนร่วมระหว่างคนมีความพิการและเด็กทั่วไป จากนั้นเบสก็สอบคิดโควตาคนพิการเข้าเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งการเรียนทั้งยากและท้าทายขึ้น
“เมื่อก่อนผมค่อนข้างเกเร จนเมื่อเกิดความผิดปกติทางสายตา พ่อผมบอกว่ามันสำคัญมากที่ผมจะต้องมีวิชาชีพติดตัวเพื่อเป็นเครื่องมือหางานในอนาคต พ่อผมเสียชีวิตหลังผมพิการแค่สองปี จุดเปลี่ยนทั้งหมดทำให้ผมคิดได้ ตั้งใจเรียนเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้น”
เยาวชนกับบทบาทนักขับเคลื่อน
เบสบอกว่าเขามีโลกสองใบ เพราะเคยมองเห็นมาก่อน เลยเข้าใจมุมมองของคนปกติ ขณะเดียวกันก็เข้าใจมุมของคนพิการด้วย อย่างในการใช้ชีวิตหรือเรียนหนังสือ คนในสังคมอาจลืมไปว่าคนพิการจะทำสิ่งต่างๆ ได้ช้ากว่าคนทั่วไปอยู่แล้วด้วยข้อจำกัดด้านร่างกาย”
“ทุกครั้งที่เปิดภาคเรียนใหม่ ผมจะเข้าหาอาจารย์ก่อนเลย แจ้งให้ทราบว่าผมมีความพิการทางสายตานะ ถ้ามีเอกสารอะไร ขอเป็นไฟล์ดิจิทัลเพราะผมต้องซูมอ่าน หรือถ้ามีงานต้องทำในคลาสเรียน ผมขอนำกลับไปทำที่บ้านเพราะต้องใช้คอมพิวเตอร์ทำ การเรียนในปัจจุบัน เทคโนโลยีต่างๆ มีส่วนช่วยอย่างมาก รวมถึงน้ำใจของอาสาสมัครหลายคนที่มาอ่านหนังสืออัดเป็นไฟล์เสียงให้ ทำให้เห็นว่าจริงๆ คนพิการมีศักยภาพ ไม่ใช่ว่าเราทำสิ่งต่างๆ ไม่ได้ แค่เส้นทางอาจจะอ้อมกว่า เลยสำเร็จช้ากว่าหน่อย” เบสอธิบาย
ตอนอยู่มัธยมศึกษาปีที่ 5 เบสถูกชักชวนเข้าเป็นคณะทำงานของชมรมเยาวชนตาบอดไทย โดยหนึ่งในภารกิจของทีมคือการจัดเวิร์คชอปและเทรนนิ่งเพิ่มศักยภาพด้านอื่นนอกเหนือจากการเรียนให้เยาวชนที่พิการทางสายตา พร้อมเดินหน้าสู่การใช้ชีวิตในสังคม “ทุกครั้งที่จัดค่ายพัฒนาศักยภาพ เราเห็นพัฒนาการของน้องๆ อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นทักษะการเข้าสังคม หรือทักษะการใช้ชีวิตประจำวันอื่นๆ โดยในค่ายจะมีทั้งน้องที่สายตาเลือนราง ไปจนถึงที่ตาบอดสนิท”
ทุกวันนี้เทคโนโลยีใหม่ๆ และความเข้าใจของสังคม ช่วยทลายข้อจำกัดหลายอย่างที่คนพิการทางสายตาเคยเผชิญ เบสบอกว่าสมัยก่อนไม่ว่าจะเป็นสื่อสิ่งพิมพ์หรือภาพยนตร์ คนตาบอดเข้าไม่ถึงและรู้สึกเหมือนอยู่คนละโลก หรือแม้แต่เรื่องการแต่งตัว บางคนมีอคติว่าคนพิการทางสายตามักจะแต่งตัวไม่เรียบร้อย ดูไม่ตามเทรนด์ ซึ่งจริงๆ แล้วมันก็มาจากที่เขามองไม่เห็น ไม่รู้ว่าจะต้องแต่งตัวทำผมยังไงให้เหมือนคนอื่น
“โปรแกรมสั่งงานด้วยเสียง อ่านหน้าจอ แปลงไฟล์จากรูปภาพเป็นตัวอักษร อ่านซับไตเติ้ล และเครื่องมือทันสมัยอีกหลายอย่างเปลี่ยนชีวิตคนตาบอดไปอย่างสิ้นเชิง ตอนนี้เราสามารถเข้าถึงการใช้งานสมาร์ทโฟน เช็กอีเมล เล่นโซเชียลมีเดีย เลือกดูหนังฟังเพลงด้วยตัวเองได้อย่างคนทั่วไป เหมือนเราเริ่มคุยด้วยภาษาเดียวกัน ทั้งหมดนี้ทำให้เรารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมและการเดินหน้าของสังคม ไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง”
โลกการทำงานของคนพิการรุ่นใหม่
นอกจากนี้เบสยังได้เข้าร่วมกับ ‘สภาเด็กและเยาวชน’ เครือข่ายที่เป็นเสมือนพื้นที่กลางในการขับเคลื่อนสังคมระหว่างคนต่างวัย ซึ่งรวบรวมเด็กและเยาวชนจากทุกกลุ่มความหลากหลายและทุกภูมิภาคเข้าไว้ด้วยกัน โดยในแต่ละปีจะมีการจัด ‘สมัชชาเด็กและเยาวชน’ เวทีรวบรวมความคิดเห็นของคนรุ่นใหม่ต่อประเด็นต่างๆ ขึ้น เพื่อให้แน่ใจว่านโยบายรวมถึงการขับเคลื่อนประเทศในประเด็นที่เกี่ยวกับเยาวชน จะเกิดขึ้นจากเสียงของเยาวชนจริงๆ
“การได้ทำงานร่วมกับสภาเด็กฯ นั้นจุดประกายมาก ทุกคนมาจากหลายแหล่งที่มา นอกจากพวกเราที่เป็นเยาวชนพิการแล้ว ยังมีเยาวชนกลุ่มชาติพันธุ์ที่มาจากภาคเหนือ จากสามจังหวัดชายแดนใต้ และกลุ่มความหลากหลายทางเพศ เรียกได้ว่ามาจากทุกจังหวัดทั่วประเทศไทย ทุกครั้งที่ได้ไปทำกิจกรรมกับสภาเด็กฯ ผมรู้สึกได้ถึงความเปิดกว้าง เคารพ และยอมรับในความแตกต่างซึ่งกันและกัน
“เวลาเราระดมความคิดเห็นกัน เพื่อจัดทำเป็นข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ไม่ว่าจะเป็นประเด็นการศึกษา สิ่งแวดล้อม หรือเรื่องเพศ เด็กและเยาวชนแต่ละกลุ่มต่างมีข้อคิดเห็นของตัวเองที่โฟกัสไปคนละจุด เช่น เพื่อนกลุ่มชาติพันธุ์อยากให้มีโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกลมากขึ้น ในขณะที่คนพิการอยากให้แต่ละมหาวิทยาลัย เพิ่มความหลากหลายของวิชาชีพที่เยาวชนพิการสามารถเรียนได้ เสียงของทุกคนมีความหมายและเท่าเทียมกันอย่างแท้จริง”
หลังจบการศึกษา เบสเข้าทำงานที่มูลนิธินวัตกรรมทางสังคม และได้ร่วมโครงการส่งเสริมการจ้างงานกระแสหลักของบัณฑิตเยาวชนพิการ (Inclusive Workplace หรือ IW) ซึ่งช่วยฝึกทักษะ เตรียมความพร้อมให้บัณฑิตจบใหม่สามารถทำงานในสังคมที่เป็นกระแสหลักได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะคนพิการทางการมองเห็นซึ่งข้อมูลจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ระบุว่าได้รับการจ้างงานน้อยกว่าคนพิการประเภทอื่นๆ
เบสเล่าอย่างกระตือรือร้นว่า “ทักษะที่จำเป็นในการทำงานมีทั้ง Hard Skill เช่น การสื่อสารภาษาอังกฤษ การใช้เครื่องมือต่างๆ ไปจนถึงโปรแกรมคอมพิวเตอร์ และ Soft Skill หรือทักษะทางสังคม อย่างการปรับตัวเข้ากับองค์กร ความรับผิดชอบ การจัดสรรเวลา ไปจนถึงความกล้าแสดงออกอย่างสร้างสรรค์ โครงการ IW คือ Working Center ที่เราได้พัฒนาตัวเองรอบด้าน ได้ลองผิดลองถูกในการทำงาน ซึ่งช่วยสร้างจุดแข็งและความมั่นใจให้บัณฑิตพิการก่อนออกไปสู่ตลาดแรงงานของจริงได้ดีมาก”
ปลดล็อกศักยภาพคนพิการ
ทุกวันนี้เบสทำงานด้านทรัพยากรบุคคล (Human Resource หรือ HR) ในบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง เช่นเดียวกับ 'ธันย์-ณิชชารีย์ เป็นเอกชนะศักดิ์' เยาวชนพิการทางการเคลื่อนไหวอีกคนที่อยู่ในเครือข่าย SDGs Youth Panel การเป็นผู้จัดหาพนักงานเข้ามาทำงานในองค์กรทำให้เบสยิ่งเข้าใจว่าทำไมคนพิการจำนวนมากจึงไม่ได้รับการว่าจ้าง เพราะตลาดแรงงานจริงนั้นมีอัตราการแข่งขันสูง
“ความสามารถของบัณฑิตพิการบางคนไม่ได้ด้อยกว่าผู้สมัครคนอื่นเลย แต่เมื่อไม่มีทักษะการพูดและการประชาสัมพันธ์ตัวเอง จึงยากที่ผู้สัมภาษณ์ซึ่งเจอเราไม่กี่นาทีจะรับรู้ได้ถึงทัศนคติและความมุ่งมั่นตั้งใจ นี่เป็นมุมที่คนพิการจะต้องพัฒนากันต่อไป แต่ในขณะเดียวกัน ในมุมของนายจ้างก็ต้องเปิดใจด้วยว่าคนพิการอาจจะทำสิ่งต่างๆ ได้ช้ากว่าคนทั่วไปด้วยข้อจำกัดด้านร่างกาย บางคนมองไม่เห็น บางคนไม่ได้ยิน บางคนนั่งวีลแชร์”
ประเทศไทยมี พรบ. ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการที่ระบุไว้ว่า บริษัทใดก็ตามต้องจ้างงานโดยมีสัดส่วนพนักงานคนพิการ 1 คน ต่อลูกจ้างทุก 100 คน โดยหากไม่ต้องการจ้างคนพิการ ก็ต้องจ่ายเงินชดเชยเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการประมาณ 1 แสนบาทต่อคนแทน
เบสอธิบายว่า พรบ. นี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อช่วยให้คนพิการมีงานทำ การหาเลี้ยงชีพตัวเองได้ไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่มันหมายถึงความภาคภูมิในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้พิการด้วย อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริง บริษัทจำนวนไม่น้อยยอมที่จะส่งเงินเข้ากองทุนฯ มากกว่าจ้างคนพิการเข้ามาทำงานจริงๆ ซึ่งอาจจะมาจากข้อจำกัดของตำแหน่งงาน สถานที่ปฏิบัติการ ไปจนถึงความเชื่อมั่นที่นายจ้างมีต่อศักยภาพคนพิการ
“ความฝันของผมในฐานะ HR ที่ทำงานด้านนี้ คือการเห็นคนพิการมีตำแหน่งงานมากขึ้น ทำยังไงให้บริษัทยินดีจ้างงานมากกว่ายอมจ่ายเงินชดเชย ทักษะแบบไหนที่คนพิการมีแล้วจะเป็นที่ต้องการในตลาดแรงงาน สามารถต่อรองเงินเดือน และสื่อสารกับนายจ้างเกี่ยวกับ Job Description รวมถึงการจัดสถานที่ทำงานให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายของคนพิการแต่ละคนได้” เบสพูดอย่างหนักแน่น
โลกที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
ในอดีตคนพิการและคนทั่วไปใช้ชีวิตแยกขาดจากกันแทบจะสิ้นเชิง คนพิการเข้าไม่ถึง ไม่เคยรู้ว่าสังคมทั่วไปเป็นยังไง เช่นเดียวกับคนทั่วไปในสังคมที่ไม่รู้จักโลกของคนพิการ แต่ตอนนี้เราอยู่ในยุคที่เทคโนโลยีทุกอย่างเอื้อต่อการเปิดใจและเรียนรู้กันที่สุดเท่าที่เคยมีมา โลกทั้งสองใบของเบสควรถูกหลอมรวมกันเป็นโลกใบเดียวใบนี้ของทุกคน
“พอไม่เคยสัมผัสก็มักจะเหมารวมจากประสบการณ์ในอดีต บางคนที่เคยเจอคนพิการนิสัยแย่ ก็อย่าเหมารวมว่าคนพิการทุกคนจะเป็นแบบนั้น เช่นเดียวกัน เราปลูกฝังน้องๆ เยาวชนพิการเสมอว่าถ้าเจอคนปกติทำตัวไม่ดีใส่ ก็อย่าไปเหมารวมว่าคนอื่นในสังคมเป็นแบบนั้น” เบสเอ่ยขึ้น
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน คนพิการคือหนึ่งในกลุ่มคนชายขอบที่ถูกกีดกันจากโอกาสในการใช้ชีวิตที่เท่าเทียม มีความยากลำบากในการใช้ชีวิต และถูกสังคมกดทับมาเป็นเวลานาน ถ้าเราลองสวมหมวกของคนพิการ มองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างใจเขาใจเรา อาจจะเข้าใจมากขึ้นว่าทำไมคนพิการบางคนจึงเป็นแบบนั้น
เบสพูดทิ้งท้ายว่า “ความฝันอีกอย่างของผมคือการนั่งรถไฟท่องเที่ยวจากกรุงเทพฯ ไปประเทศอังกฤษ บางคนได้ยินแล้วถามกลับว่าจะไปทำไม ถึงไปก็มองไม่เห็นอยู่ดี คุณต้องลืมมายาคติเดิมๆ ไปก่อนว่าคนพิการต้องอยู่บ้าน ออกไปไหนมาไหนด้วยตัวเองไม่ได้ และมองย้อนมาถึงรากของปัญหา ถ้าเรามีโครงสร้างพื้นฐานที่ดี มีทางเท้าที่เป็นมิตร คนพิการทุกประเภทไม่ว่าจะหูหนวก ตาบอด ใช้ไม้เท้าหรือนั่งวีลแชร์ จะสามารถเดินทางไปไหนได้อย่างคนทั่วไป
“เราทุกคนเกิดมามีชีวิตเดียวเหมือนกัน คนพิการก็มีแพชชันที่อยากไปให้ถึง มีไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายไม่ต่างจากคนอื่นๆ และแน่นอนว่าในการเดินทางท่องเที่ยว มันไม่ได้มีวิวเพียงอย่างเดียว ในแต่ละสถานที่มีผู้คน กลิ่น เสียง บรรยากาศ ที่คนพิการทางสายตาสัมผัสและเก็บเกี่ยวเป็นประสบการณ์ชีวิตได้ไม่ต่างกัน”
เรื่อง มิ่งขวัญ รัตนคช, เรียบเรียง ศิริณัฐ จรัสโชติสุนทร / นฤปนาท เหรัญญะ, ภาพ นิรุตติ จารุไพศาลกิจ
Tags: #SDGsYouthPanel #GlobalGoals #Youth2030
1 of 5

ข่าวประชาสัมพันธ์
19 กรกฎาคม 2023
ก.ล.ต. ผนึก UNPRI และ AIGCC จัดอบรมให้ความรู้ผู้ประกอบธุรกิจในตลาดทุนในการมีส่วนร่วมกับบริษัท ที่ออกหลักทรัพย์ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
สํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ผสานความร่วมมือกับองค์การ สหประชาชาติ (UN) Principles for Responsible Investment (PRI) และ Asia Investor Group on Climate Change (AIGCC) จัดงานสัมมนาออนไลน์ในหัวข้อ “Responsible Investment in Practice: Undertaking Stewardship with a Focus on Climate Change” เพื่อส่งเสริมหลักการลงทุนที่มีความรับผิดชอบให้แก่ผู้ลงทุนสถาบันและผู้ประกอบธุรกิจที่เก่ียวข้องในตลาดทุน ซึ่งในปีน้ีมุ่งเน้นให้ความรู้ในเรื่องการมีส่วนร่วมกับบริษัทผู้ออกหลักทรัพย์ ในการดูแลความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เมื่อวันท่ี 17 กรกฎาคม 2566 โดยมีผู้เข้าร่วมงานมากกว่า 300 คน
ก.ล.ต. ร่วมกับ UN PRI และ AIGCC เป็นเจ้าภาพ จัดงานสัมมนาออนไลน์ เพื่อให้ความรู้เชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ลงทุนที่มีความรับผิดชอบ (stewardship) อาทิ การจัดสรรเงินทุนไปยังบริษัทท่ีออกหลักทรัพย์ (investee companies) เพื่อให้ได้ผลตอบแทนท่ีดีในระยะยาวแก่ผู้ลงทุนและเจ้าของทรัพย์สิน รวมท้ังการมีส่วนร่วม (engagement) กับบริษัทท่ีออกหลักทรัพย์เพื่อผลักดันให้บริษัทเหล่านี้รับมือกับความเสี่ยงที่เก่ียวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate risk) สามารถระบุความเสี่ยงและโอกาสท่ีเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศที่สําคัญ ท้ังความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่าน (transition risk) และความเสี่ยงทางกายภาพ (physical risk) เพื่อให้บริษัทที่ไปลงทุนสามารถกําหนดมาตรการเพื่อรับมือกับความเสี่ยงดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันท่วงที สอดรับกับความเร่งด่วนของวาระสําคัญดังกล่าว อีกทั้งยังเป็นการช่วยลดความเสี่ยงให้กองทุนท่ีบริหารจัดการรวมท้ังผู้ลงทุน ซึ่งการดําเนินการดังกล่าวจะมีส่วนช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ตามเป้าหมายการพัฒนาท่ียั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ด้วย
ท้ังน้ี งานสัมมนาที่จัดขึ้นคร้ังนี้เป็นการสานต่อความร่วมมือระหว่าง ก.ล.ต. UN และ PRI ต่อเนื่องเป็นปีท่ี 3 ภายใต้ ธีม ‘Responsible Investment in Practice’ เพื่อผลักดันภารกิจของ ก.ล.ต. ในด้านการกํากับดูแลและพัฒนา ตลาดทุนไทย พร้อมกับให้ความสําคัญกับการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาตลาดทุนเพื่อความยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาประเทศภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และเป้าหมาย SDGs เพื่อช่วยให้ตลาดทุนไทย มีพัฒนาการด้านความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรมย่ิงข้ึน โดยการสัมมนาดังกล่าวจะช่วยให้ผู้ลงทุนสถาบันและผู้ประกอบธุรกิจในตลาดทุนมีความรู้ความเข้าใจบทบาทและแนวทางดําเนินการที่จะช่วยให้ investee companies ดําเนินธุรกิจโดยดูแล climate risk ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจและประเทศไทยพัฒนาไปสู่การเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป
1 of 5
ข่าวประชาสัมพันธ์
30 มิถุนายน 2023
ยูเนสโกและ อพท. สานต่อความร่วมมือเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนและปกป้องมรดกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติ
กรุงเทพฯ (28 มิถุนายน 2566) – เพื่อสานต่อการดำเนินงานร่วมกันอย่างแข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพ องค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) และองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) ได้ลงนามต่ออายุบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MoU) เป็นครั้งที่สอง ทั้งนี้ บันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างยูเนสโกและ อพท. ได้ดำรงมาตั้งแต่ปี 2557
นาวาอากาศเอก อธิคุณ คงมี ผู้อำนวยการ อพท. และนายเฟิง จิ่ง รักษาการผู้อำนวยการและหัวหน้าฝ่ายวัฒนธรรม ยูเนสโก กรุงเทพฯ ได้ลงนามต่ออายุบันทึกข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าว ในพิธีลงนามที่จัดขึ้น ณ สำนักงานยูเนสโก กรุงเทพฯ เมื่อวันพุธที่ 28 มิถุนายน
ยูเนสโกและ อพท. จะร่วมมือกันต่อไปเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนและการพัฒนาท้องถิ่นสำหรับแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติ เมืองสร้างสรรค์ และจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวในประเทศไทย ผ่านการเสริมสร้างศักยภาพและการปกป้องมรดกทางวัฒนธรรม ทั้งที่จับต้องได้และจับต้องไม่ได้ โดยเน้นพื้นที่นำร่องที่เลือกดำเนินกิจกรรม
จุดเด่นของการกระชับความร่วมมือในครั้งนี้คือ โครงการที่ยูเนสโกและ อพท. จะดำเนินร่วมกันเพื่อก่อให้เกิดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนผ่านมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้และเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ตามเส้นทางสายน้ำแห่งอาเซียน ซึ่งโครงการดังกล่าวได้รับทุนสนับสนุนจากกรอบความร่วมมืออาเซียน-ทูร์เคีย และจะเปิดตัวในเดือนสิงหาคมนี้ โดยจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศกัมพูชา ลาว และไทยเป็นหลัก
นายเฟิง จิ่ง กล่าวว่า ‘ยูเนสโกยินดีที่จะได้ร่วมงานอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้นกับ อพท. ในด้านต่าง ๆ เหล่านี้ ซึ่งผมเชื่อว่าจะเป็นทรัพยากรที่สำคัญสำหรับการพัฒนาที่ยั่งยืนของแต่ละประเทศ’
นอกจากนี้ ยูเนสโกและ อพท. จะกำหนดกลไกที่มีประสิทธิภาพในการสนับสนุนด้านการเงินเพื่อดำเนินโครงการที่เกี่ยวข้องร่วมกัน รวมทั้งจะกำหนดขอบเขตความร่วมมืออื่น ๆ เพื่อส่งเสริมเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ และความคิดริเริ่มอื่น ๆ ที่มีศักยภาพในประเทศไทย
นาวาอากาศเอก อธิคุณ กล่าวว่า ‘สิ่งสำคัญที่เพิ่มเติมเข้ามาใน MoU วันนี้ ก็คือ เราจะร่วมมือขับเคลื่อนในเรื่องของเมืองสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้นในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น’
ที่ผ่านมา ยูเนสโกได้ประกาศให้ 5 จังหวัดในประเทศไทยเป็นเมืองสร้างสรรค์ในประเภทต่าง ๆ ได้แก่ กรุงเทพฯ (การออกแบบ) เชียงใหม่ (งานฝีมือและศิลปะพื้นบ้าน) เพชรบุรี (อาหาร) ภูเก็ต (อาหาร) และสุโขทัย (งานฝีมือและศิลปะพื้นบ้าน)
อพท. เป็นองค์การมหาชนภายใต้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ก่อนหน้านี้ อพท. ได้ร่วมมือและระดมเงินทุนให้กับยูเนสโกสำหรับโครงการต่าง ๆ รวมถึงโครงการเสริมสร้างศักยภาพให้กับมัคคุเทศก์เชี่ยวชาญมรดกทางวัฒนธรรมในประเทศไทย การส่งเสริมและใช้ประโยชน์จากเครื่องมือประเมินและสร้างยุทธศาสตร์สำหรับการบริหารจัดการนักท่องเที่ยวของยูเนสโก (VMAST) ในประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ ในกลุ่ม APEC และการร่วมพัฒนาข้อเสนอเพื่อแสวงหาเงินทุนจากประชาคมอาเซียนและภาคีเครือข่ายอื่น ๆ
ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่แผนกวัฒนธรรม ยูเนสโก กรุงเทพฯ culture.bgk@unesco.org
1 of 5
ข่าวประชาสัมพันธ์
12 มิถุนายน 2023
รัฐบาลไทย ผนึกกำลังร่วมกับ UNHCR และ UNICEF เพื่อเร่งความก้าวหน้าในการยุติภาวะการไร้รัฐไร้สัญชาติในเด็ก
กรุงเทพฯ (31 พฤษภาคม 2566) – วันนี้กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย UNHCR และ UNICEF ได้ร่วมกันจัดงานสัมมนาระดับชาติว่าด้วยการยุติภาวะไร้รัฐไร้สัญชาติของเด็กในประเทศไทย โดยมีเจ้าหน้าที่จากภาครัฐ ภาคประชาสังคม และหน่วยงานสหประชาชาติ ร่วมกันผนึกกำลังเพื่อยุติความไร้รัฐไร้สัญชาติของเด็ก
งานสัมมนานี้อยู่ภายใต้ยุทธศาสตร์ร่วมของ UNHCR และ UNICEF เพื่อแก้ปัญหาการไร้รัฐไร้สัญชาติของเด็ก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทบทวนความก้าวหน้าที่เกิดขึ้นในประเทศไทย พร้อมระบุถึงความท้าทายที่ยังคงอยู่เพื่อให้ทุกฝ่ายร่วมกันหาแนวทางแก้ไข ตลอดจนส่งเสริมความเข้มแข็งในการทำงานร่วมกันระหว่างภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยมีความก้าวหน้าด้านกฎหมายและนโยบายในการจัดการกับปัญหาการไร้รัฐไร้สัญชาติ อย่างไรก็ตาม นายจูเซปเป้ เดอ วินเซนทีส ผู้แทนข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ กล่าวว่า “การแก้ปัญหาความไร้รัฐไร้สัญชาติในเด็กในประเทศไทย ยังคงเป็นงานที่ไม่เสร็จสิ้นและต้องเร่งดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เรายินดีกับความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยในการยุติภาวะไร้รัฐไร้สัญชาติของเด็ก UNHCR จะยังคงสนับสนุนรัฐบาลไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการขับเคลื่อนงานให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น และพิจารณาแสดงเจตจำนงในการแก้ไขปัญหาการไร้รัฐไร้สัญชาติที่การประชุมระดับโลกว่าด้วยเรื่องผู้ลี้ภัย (Global Refugee Forum) ในปลายปีนี้”
ด้านนางคยองซัน คิม ผู้แทนองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย กล่าวว่า “เด็กทุกคนมีสิทธิที่จะมีสัญชาติใดสัญชาติหนึ่ง และมีสถานะทางกฎหมาย ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานและเป็นประตูด่านแรกที่จะช่วยให้เด็กๆ เข้าถึงสิทธิด้านอื่น ๆ เช่น สิทธิในการมีชีวิตอยู่รอด สิทธิด้านการศึกษา สิทธิในการได้รับการปกป้องคุ้มครอง และสิทธิในการมีส่วนร่วมอย่างมีความหมายในเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพวกเขา การไม่มีสัญชาติหรือสถานะทางกฎหมายถือเป็นอุปสรรคใหญ่หลวงสำหรับเด็กในการจะมีชีวิตที่มีคุณภาพและอนาคตที่สดใส”
รัฐบาลไทยได้เข้าร่วมการรณรงค์ #IBelong ของ UNHCR เพื่อยุติภาวะไร้รัฐไร้สัญชาติภายในปี 2567 และให้คำมั่นสัญญาที่จะลดและแก้ปัญหาสถานะทางกฎหมายสำหรับบุคคลไร้รัฐไร้สัญชาติรวมถึงเด็ก เพื่อให้พวกเขาได้เข้าถึงการศึกษาและสวัสดิการทางสังคมและการคุ้มครองเด็ก ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2558 มีบุคคลไร้รัฐไร้สัญชาติที่ขึ้นทะเบียนกว่า 63,000 คน ได้รับสัญชาติไทย
ปัจจุบัน กฎหมายไทยอนุญาตให้เด็กทุกคนที่เกิดในประเทศไทยสามารถจดทะเบียนการเกิด ได้รับสูติบัตร เข้าเรียนในโรงเรียนหรือเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีสถานะทางกฎหมายหรือเอกสารใด ๆ ก็ตาม
นางเอกสิริ ปิณฑะรุจิ อธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า “งานสัมมนาในวันนี้ไม่เพียงแต่เป็นโอกาสที่จะสะท้อนความก้าวหน้าในการแก้ไขปัญหาความไร้รัฐไร้สัญชาติในเด็กเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เรากลั่นกรองและเร่งความพยายามในการแก้ไขปัญหาการไร้รัฐไร้สัญชาติของเด็กในประเทศไทยอย่างครอบคลุม รัฐบาลไทยจะใช้โอกาสนี้เพื่อเร่งการดำเนินงานของเราโดยร่วมมือกับหน่วยงานของสหประชาชาติและภาคประชาสังคมเพื่อแก้ปัญหาเด็กไร้รัฐไร้สัญชาติในประเทศไทย”
1 of 5
ข่าวประชาสัมพันธ์
19 พฤษภาคม 2023
TCCT ร่วมกับ ITC บูรณาการความรู้ความเข้าใจด้านการแข่งขันทางการค้า
สำนักงาน กขค. หรือ TCCT ร่วมกับ องค์การศูนย์กลางการค้าระหว่างประเทศ (International Trade Centre: ITC) จัดสัมมนาการเสริมสร้างสภาพแวดล้อมการแข่งขันทางการค้า เพื่อส่งเสริมการปฏิบัติตามและการบังคับใช้กฎหมายการแข่งขันทางการค้า (Seminar on Competition Advocacy to Support Compliance and Enforcement) ซึ่งจัดขึ้นภายใต้การดำเนินโครงการรวมตัวทางเศรษฐกิจภูมิภาคอาเซียนจากสหภาพยุโรปเพิ่มเติมต่อประเทศไทย (ASEAN Regional Integration Support from the EU Plus Project) หรือ ARISE Plus - Thailand เพื่อให้ความช่วยเหลือด้านการแข่งขันทางการค้าที่ได้ดำเนินการมาแล้วตั้งแต่พฤศจิกายน 2563
นายรักษเกชา แฉ่ฉาย กรรมการการแข่งขันทางการค้า กล่าวว่า สิ่งสำคัญในการสนับสนุน SMEs หรือผู้ประกอบธุรกิจให้เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและส่งเสริมการสร้างเศรษฐกิจชีวภาพ (BCG) ให้มีความเข้มแข็งนั้น จะต้องเสริมสร้างความตระหนักรู้ให้ภาคเอกชนให้เกิดความเข้าใจในบริบทการแข่งขันทางการค้าที่เป็นธรรมมากยิ่งขึ้น ซึ่งการประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับการดำเนินงานเสริมสร้างความรู้ด้านนโยบายและกฎหมายการแข่งขันทางการค้าที่จะเห็นถึงความสำคัญของนโยบายการแข่งขันทางการค้าและการกำกับดูแลการแข่งขันทางการค้าที่จะสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศได้ และยังมีความสำคัญต่อการกำกับการควบรวมธุรกิจและการตกลงร่วมกันที่ส่งผลต่อการแข่งขัน รวมไปถึงการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจของภาคธุรกิจและผู้บริโภคในการปฏิบัติตามกฎหมายการแข่งขันและการเฝ้าติดตามการกระทำความผิดอีกด้วย
สำหรับการประชุมครั้งนี้มีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้านการแข่งขันทางการค้าเข้าร่วมแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์หลายหน่วยงาน ได้แก่ องค์กรต่างประเทศ สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หอการค้านานาชาติ สำนักงานกฎหมายวีระวงค์, ชินวัฒน์ และพาร์ทเนอร์ส บริษัทที่ปรึกษา วีเอ พาร์ทเนอร์ส จำกัด สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และสำนักงาน กขค. เพื่อร่วมกันยกระดับการกำกับการแข่งขันทางการค้าของไทยให้ก้าวสู่ระดับสากล
1 of 5
ข่าวประชาสัมพันธ์
01 มีนาคม 2023
อียู-สหประชาชาติ ผสานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน และการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย
ฯพณฯ นายเดวิด เดลี (David Daly) เอกอัครราชทูตสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย กล่าวว่าว่า “สหภาพยุโรปเป็นพันธมิตรที่อยู่เคียงข้างประเทศไทยมาอย่างยาวนานในการส่งเสริมและมีความร่วมมือในประเด็นที่มีความสนใจร่วมกัน ซึ่งรวมถึงการพัฒนาที่ยั่งยืน สิทธิมนุษยชน และประเด็นเกี่ยวกับผู้ถูกบังคับให้ย้ายถิ่น สหภาพยุโรปร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ของสหประชาชาติเพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนวาระการพัฒนา 2030 ในประเทศไทย ขณะนี้เราเหลือเวลาอีกเพียง 7 ปีก่อนจะถึงกำหนดในปี ค.ศ. 2030 ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่ผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดจะต้องร่วมมือกันเพื่อเร่งดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนแต่ละข้อในทุกภูมิภาคทั่วโลก”
กีต้า ซับบระวาล (Gita Sabharwal) ผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย กล่าวถึงโอกาสที่จะเกิดขึ้นจากความร่วมมือครั้งนี้ว่า “ความร่วมมือระหว่างสหภาพยุโรปและสหประชาชาติครั้งใหม่นี้จะวางรากฐานเพื่อความร่วมมือที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนผ่านการทำงานตามกรอบความร่วมมือในประเทศไทย โครงการเหล่านี้จะนำมาซึ่งโอกาสมหาศาลและยังก่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้คนหลายล้านคน ช่วยให้การคุ้มครองผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา การส่งเสริมพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชน และการเพิ่มการมีส่วนร่วมในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของคนในท้องถิ่นมีความเป็นรูปธรรมมากขึ้น บนพื้นฐานของความโปร่งใสและการเปิดกว้าง อีกทั้งเพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง”
โครงการที่สหภาพยุโรปให้การสนับสนุนทั้งสามโครงการนี้จะช่วยส่งเสริมผลลัพธ์ลำดับที่สามตามกรอบความร่วมมือว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (United Nations Sustainable Development Cooperation Framework - UNSDCF) กรอบความร่วมมือนี้กำหนดแนวทางการทำงานของสหประชาชาติ ซึ่งมีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีและแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13 ของประเทศไทย อีกทั้งมีความเหมาะแก่กาลเป็นอย่างยิ่งเนื่องจากประเทศไทยกำลังฟื้นตัวจากการระบาดใหญ่ของโควิด-19 โดยกรอบความร่วมมือจะส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัล ความยั่งยืน สิทธิมนุษยชน และความสามารถในการฟื้นตัวจากวิกฤต ควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อม
รายละเอียดของโครงการมีดังต่อไปนี้ สหภาพยุโรปจะร่วมให้ทุนแก่โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) เพื่อสนับสนุนโครงการ ‘Strengthening SDGs Localization in Thailand’ (ส่งเสริมการประยุกต์เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในประเทศไทย) ด้วยเงินทุนราว 1 ล้านยูโรเป็นระยะเวลา 18 เดือน เพื่อทำงานกับ 15 จังหวัดเป้าหมายในการปรับปรุงการสื่อสารนโยบายเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน การประยุกต์เป้าหมายโดยคำนึงถึงเพศสภาพโดยเน้นการเพิ่มปริมาณข้อมูลพร้อมใช้งาน สร้างความตระหนัก และพัฒนาขีดความสามารถว่าด้วยเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
อีกหนึ่งโครงการเป็นการสนับสนุนเงินทุนมูลค่า 1.5 ล้านยูโร ร่วมทุนกับสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ในโครงการ 'Support on Child Protection and Durable Solutions to Refugees in Nine Camps border Thai-Myanmar Border' (สนับสนุนการคุ้มครองเด็กและแนวทางแก้ปัญหาผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมาอย่างยั่งยืนในศูนย์พักพิงชั่วคราวตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา) เพื่อพัฒนาความคุ้มครองและสิทธิของเด็กในศูนย์พักพิงชั่วคราว และส่งเสริมการปฏิรูปกฎหมายให้ผู้หนีภัยการสู้รบสามารถเข้าถึงโอกาสในการประกอบอาชีพและการศึกษาในโรงเรียน
ขณะที่สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะได้รับทุนจำนวน 1 ล้านยูโรเพื่อดำเนินโครงการ ‘Strengthen the Promotion and Protection of Human Rights in Thailand’ (เสริมสร้างการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย) โดยมุ่งสร้างความก้าวหน้าในประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยด้วยการสนับสนุนความพยายามในระดับประเทศในการเพิ่มความเข้มแข็งของกฎหมาย นโยบาย และแนวปฏิบัติให้สอดคล้องกับบรรทัดฐานและมาตรฐานสิทธิมนุษยชนสากล ขั้นตอนที่สำคัญประกอบด้วยการส่งเสริมให้นักปกป้องสิทธิมนุษยชนและองค์กรภาคประชาสังคมมีส่วนร่วมกับกลไกสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ พร้อมมุ่งให้มีการสนองตอบต่อข้อกังวลด้านสิทธิมนุษยชนมากขึ้น
สอบถามเพิ่มเติม โปรดติดต่อ
สุขุมา อุทรักษ์
โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP)
sukuma.uttarak[@]undp.org
มอร์กัน รุสเซล-เอเมอรี
สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR)
rousselh[@]unhcr.org
วรรณภร สมุทรอัษฎงค์
สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR)
wannaporn.samutassadong[@]un.org
บวรพงษ์ วัฒนาธนากุล
สำนักงานผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย (UNRCO)
bovornpong.vathanathanakul[@]un.org
ธนภรณ์ สาลีผล
สำนักงานคณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย
thanaporn.saleephol[@]eeas.europa.eu
1 of 5
ทรัพยากรล่าสุด
1 / 11
ข้อมูล
10 ธันวาคม 2021
1 / 11