สุนทรพจน์ของเลขาธิการสหประชาชาติ ถึงคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ หัวข้อ “ปณิธานสูงสุด: การเรียกร้องให้ดำเนินการเพื่อสิทธิมนุษยชน"
สุนทรพจน์ของเลขาธิการสหประชาชาติ ถึงคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ หัวข้อ“ปณิธานสูงสุด:การเรียกร้องให้ดำเนินการเพื่อสิทธิมนุษยชน" วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2020
เรียนผู้ทรงเกียรติทุกท่าน
โครงการ Call to Action (เรียกร้องเพื่อการลงมือทำ) หยิบยกประเด็นปัญหา 7 ด้าน ซึ่งหากทุกภาคส่วนพยายามร่วมกัน เราจะแก้ปัญหาได้อย่างก้าวกระโดด และลดความเสี่ยงไม่ให้ปัญเหล่านั้นเกิดขึ้นซ้ำได้
ผมขออนุญาตอธิบายเกี่ยวกับแต่ละประเด็นอย่างสั้น ๆ
ประการแรก สิทธิอันเป็นแก่นของการพัฒนาที่ยั่งยืน
สิทธิมนุษยชนคือประเด็นที่ผสานแทรกอยู่ในทุกหัวข้อของวาระการพัฒนาที่ยั่งยืนปี 2030 โดยเป้าหมายและวัตถุประสงค์ส่วนใหญ่นั้นก็สอดคล้องกับพันธสัญญาด้านสิทธิมนุษยชนอันมีผลผูกมัดตามกฎหมายที่ทุกประเทศสมาชิกได้ให้คำมั่นไว้
เมื่อเราช่วยให้ผู้คนหลุดพ้นจากความแร้นแค้น เมื่อเราวางหลักประกันทางการศึกษาสำหรับทุกคน โดยเฉพาะเด็กหญิง เมื่อเราสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เมื่อทุกคนเข้าถึงโอกาสและมีทางเลือกได้อย่างเท่าเทียมกัน เมื่อนั้นเรากำลังช่วยให้ผู้คนสามารถเรียกร้องสิทธิของตนไปพร้อม ๆ กับการยืนยันในคำปฏิญาณหลักของวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ปี 2030 ที่จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และเราจะรับผิดชอบต่อคำสัญญานี้โดยการต่อกรกับความไม่เท่าเทียมและขจัดการเลือกปฏิบัติทุกรูปแบบ
ไม่ควรมีอนาคตของใครต้องถูกกำหนดเพราะอายุ เพศ รูปร่างหน้าตา ที่อยู่อาศัย ความเชื่อ หรือคนที่พวกเขารัก ยิ่งไปกว่านั้น เราจะต้องให้ความสำคัญกับความปรารถนาและประสบการณ์ของคนหนุ่มสาว รวมไปถึงผู้พิการ ชนกลุ่มน้อย ชุมชนพื้นเมือง ผู้ลี้ภัย ผู้อพยพ และกลุ่มอื่น ๆ ที่ต้องเผชิญกับความท้าทายที่แตกต่างกันไป แนวปฏิบัติที่ตั้งอยู่บนสิทธิมนุษยชนเพื่อสังคมที่สงบ เป็นธรรม และเคารพต่อหลักนิติธรรม คือวิถีทางที่จะนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนและครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
วันนี้ ผมขอเรียกร้องให้ทุกประเทศยึดหลักการและกลไกด้านสิทธิมนุษยชนเป็นเครื่องนำทางและเป็นศูนย์กลางในการดำเนินการตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน และสร้างพื้นที่ที่เปิดกว้างสำหรับการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคม
ประการที่สอง สิทธิท่ามกลางสภาวะวิกฤต
ในบรรดาบททดสอบที่เราต้องเผชิญในการพิทักษ์สิทธิมนุษยชน แทบจะไม่มีบททดสอบใดยากไปกว่าการพิทักษ์สิทธิ์ในสถานการณ์ความขัดแย้ง การโจมตีจากผู้ก่อการร้าย หรือเมื่อเกิดภัยพิบัติ
สิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ กฎหมายผู้ลี้ภัยและมนุษยธรรม คือสิ่งสามารถกอบกู้บรรทัดฐานของมนุษยชาติได้แม้ในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุด โครงการ Call to Action ตระหนักดีว่าการเคารพสิทธิมนุษยชนคือกลไกสำคัญในการป้องกันวิกฤต แต่เมื่อมาตรการป้องกันเสื่อมถอยและความรุนแรงปรากฏทั่วทุกหัวระแหง ประชาชนย่อมต้องการการคุ้มครอง เพื่อให้แนวทางการทำงานของสหประชาชาติมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกัน เราจะดึงองค์ความรู้จากการทำงานที่เข้มข้น และนำมาพัฒนาเป็นวาระร่วมเพื่อการคุ้มครอง ซึ่งจะนำไปใช้กับครอบครัวของสหประชาชาติต่อไป
อย่างไรก็ตาม ความพยายามในการรับมือกับการก่อการร้าย แม้จะเป็นสิ่งที่จำเป็นเพียงใด ก็ต้องไม่ลดทอนสิทธิมนุษยชน วาระเพื่อการคุ้มครองนี้จะคำนึงถึงความแตกต่างทางอายุ เพศ และความหลากหลายของประชาชนที่เรารับใช้อย่างเต็มที่ และจะสานต่อไปยังการคุ้มครองชนกลุ่มน้อย และสิทธิของชนพื้นเมือง นอกจากนี้ เราจะต่อยอดให้กับโครงการที่สำคัญ เช่น นโยบาย Human Rights Up Front ที่ยกระดับการวิเคราะห์ประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน และการขยายบทบาทของที่ปรึกษาด้านสิทธิมนุษยชนในทีมงานสหประชาชาติประประเทศต่าง ๆ
ในขณะเดียวกัน เราจะยังคงร่วมมือกับคณะมนตรีความมั่นคงและหน่วยงานของสหประชาชาติเพื่อยกระดับจิตสำนึก ป้องกันวิกฤต ปกป้องประชาชน และปลูกฝังความรับผิดชอบให้องค์กรต่าง ๆ ผ่านศาลอาญาระหว่างประเทศและกลไกอื่น ๆ เพื่อให้เกิดความยุติธรรมในระดับโลก เหล่านี้คือเครื่องมือสำคัญในการป้องกันการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และอาชญากรรมร้ายแรงอื่น ๆ
ประการที่สาม ความเท่าเทียมทางเพศสภาพและสิทธิที่เท่าเทียมสำหรับผู้หญิง
เมื่อไร้ซึ่งสิทธิสตรี ย่อมไร้ซึ่งสิทธิมนุษยชน
แต่ทว่าในปีนี้ ซึ่งครบรอบ 25 ปีของแผนปฏิบัติการปักกิ่ง เรากลับเห็นการกดขี่สิทธิของสตรี สถิติการสังหารผู้หญิงที่สูงอย่างน่ากังวล การโจมตีนักปกป้องสิทธิสตรี และการคงอยู่ของกฎหมายและนโยบายที่ทำให้การกดขี่และการกีดกันสามารถเกิดขึ้นได้เรื่อย ๆ ความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็กหญิงคือการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นมากที่สุดในโลก ยิ่งไปกว่านั้น เรายังไม่เห็นความก้าวหน้าใด ๆ ในการมีส่วนร่วมของสตรีในบทบาทนำทางการเมือง ในกระบวนการสันติภาพ และในการมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจ
ช่องว่างของความเหลื่อมล้ำนี้อาจแตกต่างกันไปในแต่ละที่ แต่ต้นตอและเหตุผลนั่นล้วนเหมือนกัน และนั่นก็คืออำนาจ เป็นเวลานับพันปีที่ผู้หญิงถูกปิดปาก ถูกผลักให้เป็นคนชายขอบ และถูกละเลย นโยบายและกฎหมายส่วนใหญ่ถูกกำหนดขึ้นด้วยประสบการณ์ของมนุษยชาติเพียงครึ่งเดียว เราต้องเปลี่ยนแปลงวิธีคิดของเรา เพื่อสร้างระบบเศรษฐกิจและสังคม การปกครอง และความปลอดภัยที่รองรับคนทุกคน ดังที่ผู้เชี่ยวชาญชื่อดังท่านหนึ่งกล่าวไว้ “หากเรายังมองไม่เห็นว่าผู้หญิงคือส่วนหนึ่งในโครงสร้างอำนาจอย่างสมบูรณ์ ปัญหาที่เราต้องแก้อย่างแน่นอน ไม่ใช่ที่ผู้หญิง แต่คือการให้นิยามกับอำนาจเสียใหม่”
การสร้างนิยามใหม่นี้ต้องเริ่มจากภายใน และเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสหประชาชาติ เมื่อในวันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา เราบรรลุความเท่าเทียมทางเพศในจำนวนผู้ปฏิบัติงานเต็มเวลาในระดับอาวุโสสูงสุด คือรองเลขาธิการและผู้ช่วยเลขาธิการ ซึ่งเป็นหญิง 90 คน และชาย 90 คน
เราให้คำมั่นที่จะสร้างความเท่าเทียมทางเพศให้เกิดขึ้นในระบบของสหประชาชาติในทุกระดับภายในปี 2028 นำมุมมองทางเพศสภาพมาประยุกต์ใช้กับทุกสิ่งที่สหประชาชาติทำ ช่วยผลักดันเพื่อให้บรรลุความเท่าเทียมทางเพศในทุกด้าน สร้างระบบติดตามที่ดีขึ้น และสร้างเกณฑ์วัดผลในการใช้งบประมาณเพื่อความเท่าเทียมทางเพศ
วันนี้ ผมขอเรียกร้องให้ทุกประเทศร่วมสนับสนุนนโยบายและกฎหมายที่ส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ ยกเลิกกฎหมายที่เลือกปฏิบัติ ยุติความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็กหญิง สร้างหลักประกันให้กับสิทธิและสุขภาพทางเพศและอนามัยเจริญพันธุ์ และพยายามอย่างแข็งขันเพื่อให้ผู้หญิงได้มีตัวแทนและมีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียมในทุก ๆ ด้าน
ประการที่สี่ การมีส่วนร่วมของประชาชนและพื้นที่ประชาสังคม
พื้นที่ประชาสังคมทั่วโลกกำลังหดเล็กลง และเช่นเดียวกับพื้นที่ที่เล็กลง สิทธิมนุษยชนก็กำลังเลือนหายไปเช่นกัน
อำนาจของกฎหมายที่กดขี่กำลังแผ่ขยาย พร้อมกับการริดรอนเสรีภาพในการแสดงออก การนับถือศาสนา การมีส่วนร่วม การชุมนุมและการสมาคม นักข่าว นักพิทักษ์สิทธิมนุษยชน และนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะที่เป็นผู้หญิง ถูกคุกคามมากขึ้นเรื่อย ๆ ในยามที่พวกเขาเป็นกลไกสำคัญในการพิสูจน์ความถูกต้อง เทคโนโลยีใหม่ ๆ ช่วยให้เครือข่ายภาคประชาสังคมเติบโต แต่ในทางกลับกันก็ช่วยให้ผู้มีอำนาจมีเครื่องมือที่ทรงพลังอย่างไม่เคยมีมาก่อนในการควบคุมการเคลื่อนไหวและบั่นทอนเสรีภาพ
การทำงานของสหประชาชาติย่อมไม่สามารถดำเนินไปได้ หากปราศจากการมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันของภาคประชาสังคม เราพยายามมากขึ้นในทุก ๆ วันเพื่อให้องค์กรและหน่วยงานของสหประชาชาติสามารถรับฟังเสียงจากภาคประชาสังคมได้อย่างเป็นระบบมากขึ้น และให้ความใส่ใจเป็นพิเศษกับองค์กรด้านสิทธิสตรี และคนหนุ่มสาว และเราจะออกแบบกลยุทธ์ทั้งระบบเพื่อส่งเสริมและปกป้องพื้นที่ประชาสังคม และเพิ่มความพยายามในการเสริมพลังให้กับภาคประชาสังคม
ประการที่ห้า สิทธิของคนรุ่นหลัง
วิกฤตการณ์ทางสภาพภูมิอากาศที่กำลังคุกคามสิทธิมนุษยชนทั่วโลกอยู่ในขณะนี้ คือภัยคุกคามที่ใหญ่หลวงที่สุดต่อการอยู่รอดของเราในฐานะสิ่งมีชีวิต
ภาวะฉุกเฉินทั่วโลกนี้เน้นย้ำถึงความสำคัญอย่างยิ่งยวดว่าสิทธิของคนรุ่นหลังคือปัจจัยหลักที่ต้องนำมาพิจารณาในการตัดสินใจทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ สภาวะนี้ยังคุกคามความอยู่รอดของประเทศสมาชิกบางประเทศ โดยเฉพาะประเทศเกาะขนาดเล็กที่กำลังพัฒนา หากเราไม่ลงมือแก้ปัญหาในวันนี้ ลูกหลานของเราจะมีสิทธิขั้นพื้นฐานน้อยลง หากเราฟัง เราย่อมได้ยินของพวกเขาผ่านเสียงที่เปล่งออกมาอย่างกล้าหาญของคนหนุ่มสาวในปัจจุบัน
โครงการ Call to Action จะสานต่อข้อสรุปจากการประชุมสุดยอดว่าด้วยการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศในเดือนกันยายน รวมไปถึงการประชุมสุดยอดของเยาวชนว่าด้วยสภาพภูมิอากาศ เพื่อผลักดันการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศ และสิทธิในการมีสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย สะอาด ดีต่อสุขภาพ และยั่งยืน
เราจะสร้างพื้นที่ให้คนหนุ่มสาว ไม่เพียงแค่ให้พวกเขาได้พูด แต่เพื่อให้พวกเขาได้มีส่วนร่วมและกำหนดการตัดสินใจที่จะส่งผลต่ออนาคตของพวกเขา
ประการที่หก การลงมือทำร่วมกัน
โครงการ Call to Action มองว่าสิทธิมนุษยชนคือหัวใจของการลงมือทำร่วมกัน ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการรับมือกับวิกฤตการณ์ในวันนี้
การรวมกลุ่มแบบพหุภาคีจะต้องเปิดกว้างมากขึ้น มีความเป็นเครือข่ายมากขึ้น และยึดถือสิทธิมนุษยชนเป็นแกนกลาง เราจะใช้ทุกโอกาสในการหารือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่าง ๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประเทศสมาชิก ในประเด็นปัญหาที่เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนและมนุษยธรรม รวมถึงการยกระดับการสนับสนุนที่เรามอบให้กับสถาบันสิทธิมนุษยชนที่สำคัญ
เราจะทำงานให้หนักยิ่งขึ้นเพื่อสร้างขีดความสามารถและสนับสนุนสถาบันของรัฐ และองค์กรภาคประชาสังคม เราจะเดินหน้าเข้าร่วมการเจรจาอย่างตรงไปตรงมาในที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคง ในสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ และในคณะมนตรีสิทธิมนุษยชน รวมทั้งการเจรจาระดับทวิภาคีและในระดับภูมิภาค
การทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนคือเครื่องมือสำคัญในการสร้างการมีส่วนร่วมระดับประเทศ เรามีแนวปฏิบัติที่ดีและความสำเร็จมากมายที่เกิดขึ้นแม้ในสถานการณ์ที่ยากลำบากที่สุด เราให้คำมั่นสัญญาในวันนี้ว่าเราจะพยายามให้มากขึ้น
ในอีกไม่นานนี้ ผมจะแถลงแนวทางปฏิบัติใหม่ต่อผู้นำประเทศทุกประเทศในองค์การสหประชาชาติ เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือของเราในการจัดการความท้าทายด้านสิทธิมนุษยชนผ่านการใช้ประสิทธิภาพและศักยภาพของการทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชน
ในทุกภารกิจที่เราทำ เราสัญญาว่าจะสนับสนุนประเทศสมาชิกให้มากขึ้นในการก่อตั้งสถาบันสิทธิมนุษยชนของตนเอง และเพื่อให้สามารถใช้เครื่องมือด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติได้อย่างเต็มประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อเป็นพื้นฐานในการเผชิญหน้ากับความท้าทายในปัจจุบันและอนาคต
และท้ายที่สุด ประการที่เจ็ด ปราการแห่งใหม่ของสิทธิมนุษยชน
โลกยุคดิจิทัลได้เปิดปราการใหม่ ๆ ให้กับสวัสดิภาพ ความรู้ และการแสวงหาของมนุษย์ ถึงกระนั้น เทคโนโลยีใหม่ ๆ กลับถูกนำมาใช้มากจนเกินไปเพื่อละเมิดสิทธิ์ ผ่านการเฝ้าระวัง การกดขี่ การคุกคาม และความเกลียดชังในโลกออนไลน์ เครื่องมือเหล่านี้ยังถูกใช้โดยผู้ก่อการร้ายและขบวนการค้ามนุษย์
ความก้าวหน้าต่าง ๆ เช่น ซอฟต์แวร์จดจำใบหน้า หุ่นยนต์ การระบุตัวตนทางดิจิทัล และเทคโนโลยีชีวภาพ จะต้องไม่ถูกนำมาใช้เพื่อริดรอนสิทธิมนุษยชน ทำให้รอยร้าวแห่งความไม่เท่าเทียมยิ่งร้าวลึก และทำให้การเลือกปฏิบัติที่มีอยู่แล้วเลวร้ายยิ่งขึ้น
คณะกรรมการอิสระดับสูงว่าด้วยความร่วมมือทางดิจิทัลได้ชี้ให้เราเห็นแนวทางในการสร้างโลกที่ทุกคนจะได้รับประโยชน์จากความก้าวหน้าทิยิ่งใหญ่และปราการใหม่ ๆ และเพื่อที่จะก้าวไปให้ถึงจุดนั้น เราจะสนับสนุนการประยุกต์ใช้หลักสิทธิมนุษยชนในโลกออนไลน์ และการปกป้องข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลสุขภาพ
การทำงานกับภาคเอกชนก็มีความสำคัญมากเช่นกัน เราจะพยายามเสริมความแข็งแกร่งให้กับองค์กรสำคัญระดับโลกที่สำคัญ เช่น ที่ประชุมว่าด้วยธรรมาภิบาลด้านอินเทอร์เน็ต เราจะทำทุกอย่างเพื่อให้แน่ใจว่าเครื่องจักรอัตโนมัติจะไม่มีความสามารถในการทำลายล้างที่อยู่นอกเหนือการตัดสินใจหรือการควบคุมโดยมนุษย์
และผมขอย้ำอีกครั้งถึงข้อเรียกร้องในการสั่งห้ามการใช้อาวุธทำลายล้างอัตโนมัติทั่วโลก
ผู้ทรงเกียรติทุกท่าน
สุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ
ผมมุ่งมั่นที่จะทุ่มเทกำลังทั้งหมดในวาระการทำงานของผมและครอบครัวสหประชาชาติ เพื่อผลักดันโครงการ Call to Action ที่เราได้แถลงในวันนี้ ผมจะสนับสนุนภารกิจสำคัญของข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนอย่างเต็มที่ และจะกระชับความร่วมมือที่แน่นแฟ้นอยู่แล้วระหว่างผมในฐานะเลขาธิการสหประชาชาติและสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชน เพื่อให้แน่ใจว่าเราจะสามารถร่วมมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไปให้ถึงพันธสัญญาที่ให้ไว้
ผมขอเรียกร้องให้ทุกท่านร่วมมือกับเราเพื่อขานรับเสียงเรียกร้องในครั้งนี้ เพื่อผู้คนและโลกของเรา
ผู้คนทั่วโลกปรารถนาที่จะได้รู้ว่ามีพวกเรายืนอยู่เคียงข้าง แม้ว่าจะศักดิ์ศรีจะถูกปล้นไปโดยสงคราม การกดขี่ ความยากจน หรือเพียงแค่อยากฝันถึงอนาคตที่ดีกว่า ทุกชีวิตต่างต้องอาศัยสิทธิ์ขั้นพื้นฐานที่ไม่ควรมีสิ่งใดมาลดทอนได้ และผู้คนทั้งหลายต่างมองมาที่เรา เรียกร้องให้เรายืนหยัดเพื่อพวกเขา
สิทธิมนุษยชน ทั้งสิทธิพลเมือง สิทธิทางวัฒนธรรม เศรษฐกิจ การเมือง และสังคม เป็นทั้งเป้าหมายและเส้นทาง
โปรดร่วมมือกันเพื่อไปให้ถึงความวาดหวังสูงสุดของมนุษยชาติ คือการผดุงไว้ซึ่งสิทธิมนุษยชนทั้งหมดเพื่อคนทั้งมวล
ขอบคุณครับ