สุนทรพจน์ของเลขาธิการสหประชาชาติ ณ มหาวิทยาลัย THE NEW SCHOOL หัวข้อ “ผู้หญิงกับอำนาจ”
สุนทรพจน์ของเลขาธิการสหประชาชาติ ณ มหาวิทยาลัย THE NEW SCHOOL หัวข้อ “ผู้หญิงกับอำนาจ” เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2020
นักเรียนนักศึกษาและมิตรสหายที่รักทุกท่าน
ผมมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาอยู่ต่อหน้าทุกท่าน ณ ที่นี้ ในวันนี้ ขอบคุณที่ให้เกียรตินี้แก่ผม ซึ่งผมขอส่งผ่านไปยังสหประชาชาติและผู้ปฏิบัติงานของเราที่อยู่ทั่วโลก
The New School เป็นสถานที่ที่พิเศษ
ผมจบการศึกษาด้านวิศวกรรมศาสตร์ วิชาฟิสิกส์คือความหลงใหลทางวิชาการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของผม แต่ผมขอมอบความชื่นชมอย่างสุดหัวใจให้กับศิลปิน นักปรัชญา นักสังคมศาสตร์ และบุคคลทั้งหลายที่พยายามหาคำอธิบายและทำให้โลกเป็นสถานที่ที่สวยงามยิ่งขึ้น
ผมขอขอบคุณ The New School ที่ช่วยยกระดับจิตใจและให้ความหมายกับชีวิตของเรา
สำหรับผม ไม่มีที่ไหนจะดีไปกว่า The New School ในการอธิบายมุมมองของเราที่มีต่อผู้หญิงและอำนาจ และพันธสัญญาอันแรงกล้าของเราที่จะทำให้ความเสมอภาคทางเพศเกิดขึ้นในทุกสิ่งที่เราทำ
ในฐานะของผู้ชายคนหนึ่งที่เกิดในยุโรปตะวันตก ผมมีความสุขกับสิทธิพิเศษมากมาย
แต่ชีวิตวัยเด็กของผมที่อยู่ภายใต้การปกครองแบบเผด็จการทหารในโปรตุเกส ได้เปิดตาของผมให้เห็นความอยุติธรรมและการกดขี่
นับตั้งแต่ที่ผมเป็นนักเรียนอาสาสมัครในชุมชนแออัดของลิสบอน ตลอดระยะเวลาในการทำงานการเมือง และในฐานะผู้นำของหน่วยงานผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ
ผมรู้สึกมาโดยตลอดว่านี่คือหน้าที่อันไม่อาจหลบเลี่ยงได้ของผม ในการต่อสู้กับความอยุติธรรม ความเหลื่อมล้ำ และการไม่ยอมรับในสิทธิมนุษยชน
วันนี้ ในฐานะเลขาธิการของสหประชาชาติ ผมมองเห็นมิติหนึ่งของความอยุติธรรมที่กดทับโลกทั้งใบ เสียงกรีดร้องของผู้คนที่ถูกละเมิด วอนขอให้เราหันมอง
มันคือความเหลื่อมล้ำทางเพศและการเลือกปฏิบัติที่กระทำต่อผู้หญิงและเด็กหญิง
ไม่ว่าจะมองไปที่ใด เราจะเห็นผู้หญิงอยู่ในสถานะที่ต่ำต้อยกว่าผู้ชาย ทั้งหมดเพียงเพราะเขาเหล่านั้นเป็นผู้หญิง
และผู้หญิงที่เป็นผู้อพยพและผู้ลี้ภัย ผู้หญิงที่มีความพิการ และที่เป็นสมาชิกของชนกลุ่มน้อยทุกประเภท ยังต้องเผชิญกับอุปสรรคที่หนักหนาขึ้นไปอีก
การเลือกปฏิบัตินี้ทำร้ายพวกเราทุกคน
เช่นเดียวกับที่การมีทาสและการล่าอาณานิคมยังที่คงเป็นรอยมลทินในประวัติศาสตร์เมื่อหลายศตวรรษก่อน ความไม่เท่าเทียมที่เกิดขึ้นกับผู้หญิง คือสิ่งที่เราทุกคนควรละอายในศตวรรษที่ 21
เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องที่ยอมรับไม่ได้ แต่มันเป็นความขลาดเขลา
การมีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียมของผู้หญิงเท่านั้น จะช่วยให้เรากอบเกี่ยวประโยชน์สูงสุดจากสติปัญญา ประสบการณ์ และความรู้ของมนุษยชาติทั้งมวล
การมีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียมของผู้หญิงนั้นสำคัญต่อความมั่นคง ช่วยป้องกันความขัดแย้ง และส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนและเปิดกว้าง
ความเท่าเทียมกันทางเพศคือเงื่อนไขจำเป็นขั้นพื้นฐานของการสร้างโลกที่ดีกว่า
มิตรสหายและนักเรียนนักศึกษาที่รัก
สิ่งที่ผมกล่าวไปไม่ใช่ปัญหาใหม่ ผู้หญิงต่อสู้เพื่อสิทธิของพวกเธอมานานหลายศตวรรษ
เมื่อห้าร้อยปีก่อน ราชินี Nzinga Mbandi แห่ง Mbundu ทำสงครามต่อต้านการปกครองโดยเจ้าอาณานิคมโปรตุเกส ที่กุมอำนาจเหนือประเทศแองโกลาในปัจจุบัน
Mary Wollstonecraft ผู้ที่มักถูกเอ่ยถึงว่าเป็นมารดาของแนวคิดสตรีนิยมตะวันตก เธอได้เขียนหนังสือเรื่อง A Vindication of Rights of Women ในปี ค.ศ. 1792
หกสิบปีต่อมา Sojourner Truth ถ่ายทอดคำร้องขอจากก้นบึ้งหัวใจเพื่อสิทธิสตรี ขณะที่เธอต่อสู้เพื่อทำให้การมีทาสหมดไป
การเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องสิทธิสตรีสุกงอมในศตวรรษที่ 20 การมีอยู่ของประมุขรัฐที่เป็นผู้หญิงได้ขจัดความสงสัยเกี่ยวกับความสามารถในการเป็นผู้นำของผู้หญิงไปหมดสิ้น ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนได้ยืนยันสิทธิที่เท่าเทียมกันของชายและหญิง และอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบก็ได้วางแนววิสัยทัศน์เกี่ยวกับความเท่าเทียมทางเพศเอาไว้
วันนี้ หญิงสาวอย่าง Malala Yousafzai และ Nadia Murad กำลังฝ่าฟันอุปสรรคและสร้างต้นแบบของผู้นำรุ่นใหม่
แต่ท่ามกลางความก้าวหน้าเหล่านี้ สถานการณ์ด้านสิทธิสตรียังคงอยู่ในสภาวะที่เลวร้าย
ความไม่เสมอภาคและการเลือกปฏิบัติกลายเป็นบรรทัดฐานในทุกที่
ความก้าวหน้าในการต่อสู้ชะลอตัวลง จนหยุดนิ่ง และในบางกรณีก็สวนทาง
สิทธิสตรีถูกต่อต้านอย่างหนักหน่วงและไม่หยุดยั้ง
ความรุนแรงต่อผู้หญิง รวมถึงการสังหารผู้หญิงลุกลามอย่างรวดเร็วเหมือนโรคระบาด ผู้หญิงมากกว่าหนึ่งในสามจะประสบกับความรุนแรงในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งในช่วงชีวิตของเธอ
การคุ้มครองทางกฎหมายต่อการข่มขืนและความรุนแรงในครอบครัวกำลังถูกทำให้เจือจาง หรือมีพัฒนาการสวนทางในบางแห่ง การข่มขืนโดยคู่สมรสยังคงเป็นสิ่งถูกกฎหมายใน 34 ประเทศ สิทธิทางเพศและการสืบสกุลของผู้หญิงเผชิญการคุกคามจากหลายด้าน
ผู้นำและบุคคลสาธารณะที่เป็นผู้หญิงต้องเผชิญกับการล่วงละเมิด การคุกคาม และการข่มเหงทั้งทางออนไลน์และในชีวิตจริง
การถูกควบคุมเสรีภาพส่วนบุคคลและการแต่งกายคือความจริงในชีวิตประจำวันของผู้หญิงและเด็กหญิงหลายล้านคน
จากรัฐบาล สู่คณะกรรมการบริษัท ไปจนถึงงานประกาศรางวัล ผู้หญิงยังคงถูกกีดกันไม่ให้เป็นบุคลากรแถวหน้า ที่ได้นั่งร่วมโต๊ะกับคนสำคัญ
นโยบายที่กระทำต่อผู้หญิง ไม่ว่าจะเป็นนโยบายลดการใช้จ่ายภาครัฐ และการบีบบังคับให้ตั้งครรภ์ กลับมาอยู่ในกระแสอีกครั้ง
ทุกประเทศได้ให้คำมั่นที่จะเปิดพื้นที่ให้ผู้หญิง แต่ 20 ปีหลังจาก ผู้หญิงยังคงถูกกีดกันจากการเจรจาเพื่อสันติภาพ
และสังคมยุคดิจิทัลก็ยิ่งทำให้ความเหลื่อมล้ำเหล่านี้ร้าวลึกยิ่งขึ้น
มิตรสหายและนักเรียนนักศึกษาที่รัก
ความเสมอภาคทางเพศคือเรื่องของอำนาจ
เราอยู่อาศัยในโลกที่ครอบงำโดยผู้ชายและวัฒนธรรมที่ครอบงำโดยผู้ชาย เป็นแบบนี้มาหลายพันปี
นักประวัติศาสตร์ Mary Beard ได้ชี้ให้เห็นรากลึกทางประวัติศาสตร์ของแนวคิดชายเป็นใหญ่ในวัฒนธรรมตะวันตก
ในมหากาพย์ Odyssey ที่ถูกเขียนขึ้นเมื่อสามพันปีที่แล้ว Homer ผู้เป็นกวีบรรยายว่า Telemachus บอกให้ Penelope แม่ของเขาเงียบเสีย และปล่อยให้การเจรจาเป็นเรื่องของผู้ชาย
ช่างเป็นเรื่องโชคร้ายที่มุมมองของ Telemachus อาจจะยังเป็นที่ยอมรับในการประชุมบางแห่งที่ผมต้องเข้าร่วมในวันนี้
แนวคิดชายเป็นใหญ่ คือระบบสังคมที่ตั้งอยู่บนหลักของการสืบเชื้อสายผ่านสายผู้ชาย ระบบเช่นนี้คงส่งผลกระทบต่อชีวิตของเราในทุกด้าน เราทุกคน ไม่ว่าจะเป็นชายและหญิง เด็กหญิงและเด็กชายล้วนเจ็บปวดจากผลของมัน
โครงสร้างอำนาจที่ถูกครอบงำโดยผู้ชายคือรากเหง้าของระบบเศรษฐกิจ การเมือง และการบริหารกิจการทุกอย่าง
แม้แต่ชื่อเสียงระดับฮอลลีวูดก็ไม่อาจปกป้องผู้หญิงจากผู้ชายที่ใช้กำลังทางกาย อารมณ์ และตำแหน่งอาชีพที่เหนือกว่าเพื่อกระทำกับพวกเขา ผมขอคารวะคนทุกคนที่กล้าลุกขึ้นพูดและต่อสู้ด้วยความกล้าหาญ
สถาบันและโครงสร้างทั้งหลายที่ควบคุมชีวิตของเราวางซ้อนอยู่บนความเหลื่อมล้ำที่มองไม่เห็น ซึ่งตอบสนองความต้องการของประชากรมนุษย์เพียงครึ่งเดียว
นักเขียน Caroline Criado Perez เรียกความคิดนี้ว่า “ผู้ชายคือค่าตั้งต้น” ข้อสรุปที่ว่าผู้ชายคือมาตรฐาน และผู้หญิงคือข้อยกเว้น ข้อสรุปที่ไม่เคยมีใครตั้งคำถาม
สิ่งนี้ทำให้เกิดช่องว่างทางข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพราะบ่อยครั้งเหลือเกินที่ผู้หญิงไม่ถูกนับรวม และประสบการณ์ของพวกเธอไม่มีความหมาย
ผลกระทบที่ตามมาปรากฏให้เห็นทุกที่ ตั้งแต่ห้องน้ำไปจนถึงเส้นทางของรถประจำทาง ผู้หญิงมีความเสี่ยงสูงกว่าผู้ชายที่จะได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ เนื่องจากเบาะนั่งและเข็มขัดนิรภัยถูกออกแบบมาให้พอดีกับสรีระผู้ชายที่เป็นค่าตั้งต้น ผู้หญิงมีอัตราการเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายสูงกว่าผู้ชาย เนื่องจากเครื่องมือวินิจฉัยอาการถูกออกแบบมาสำหรับผู้ชายที่เป็นค่าตั้งต้น
ความคิดที่ว่า “ผู้ชายคือค่าตั้งต้น” แผ่ขยายไปจนถึงอวกาศ ซึ่งเป็นปราการสุดท้ายสำหรับผู้หญิง ผู้ชายมากกว่า 150 คนได้ออกไปเดินในอวกาศ แต่มีผู้หญิงเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้ทำเช่นนั้น สาเหตุหลักมีอยู่ว่าชุดสำหรับมนุษย์อวกาศได้รับการออกแบบมาสำหรับผู้ชายที่เป็นค่าตั้งต้น ไม่เคยมีผู้หญิงคนใดได้เหยียบเท้าบนดวงจันทร์ แม้ว่านักคณิตศาสตร์หญิงจะมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ผู้ชายขึ้นไปยืนอยู่บนนั้นได้ก็ตาม
แต่ในท้ายที่สุด เราก็ได้ฉลองความสำเร็จของผู้หญิงเหล่านี้ รวมถึง Katherine Johnson ผู้ที่ล่วงลับไปในสัปดาห์นี้
นอกเหนือจากการใช้ความรุนแรง การควบคุม โครงสร้างอำนาจที่ครอบงำโดยชาย และการเลือกปฏิบัติที่ดูแนบเนียน ผู้หญิงและเด็กหญิงยังต้องต่อสู้กับการเกลียดผู้หญิง และการเห็นความสำเร็จของพวกเธอถูกลบล้าง ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาเป็นเวลาหลายร้อยปี เหตุการณ์เหล่านี้มันมากเกินไป
ตั้งแต่การเยาะเย้ยผู้หญิงว่าเป็นเพศที่อารมณ์ไม่คงที่ หรือแปรปรวนตามฮอร์โมน ไปจนถึงการถูกตัดสินจากรูปร่างหน้าตาที่เกิดขึ้นทุกวัน ตั้งแต่เทพนิยาย และการมองว่าการทำงานตามธรรมชาติของร่างกายผู้หญิงเป็นสิ่งต้องห้าม ไปจนถึงการถูกสั่งสอนจากผู้ชายที่คิดว่าตนรู้ดีกว่า และการโทษเหยื่อ ความเกลียดชังที่มีต่อผู้หญิงมีอยู่ทุกที่
ในทางกลับกัน ตลอดศตวรรษที่ผ่านมาและในทุกวัฒนธรรม คำต่าง ๆ เช่น “อัจฉริยะ” และ “ฉลาด” มักใช้เพื่ออธิบายผู้ชายมากกว่าผู้หญิง
ซึ่งไม่น่าแปลกใจ ก็ในเมื่อผู้ชายเป็นผู้สร้างกฎ และกีดกันไม่ให้ผู้หญิงเข้าร่วม
ความเสียหายที่เกิดจากความคิดชายเป็นใหญ่และความไม่เท่าเทียมนั้น ไม่ได้หยุดอยู่แค่ที่ผู้หญิงและเด็กหญิง
ผู้ชายเองก็มีเพศสภาพเช่นกัน และเป็นเพศสภาพที่ถูกนิยามไว้อย่างเข้มงวดมากจนกลายเป็นกับดักที่กักขังผู้ชายและเด็กชายไว้ด้วยภาพจำบางอย่าง ซึ่งเป็นบ่อเกิดแห่งพฤติกรรมเสี่ยง ความก้าวร้าวทางกาย และความเย่อหยิ่ง ไม่เต็มใจที่จะขอคำแนะนำหรือการช่วยเหลือ
ในฐานะนักเขียน Chimamanda Ngozi Adichie กล่าวไว้ว่า “ความเป็นชายคือกรงขนาดเล็กแต่แข็งแรง ที่เราใช้ขังเด็กชาย”
ในทั่วโลก ผู้ชายมีอายุขัยสั้นกว่าผู้หญิง พวกเขามีแนวโน้มที่จะอยู่ในคุก ใช้และประสบกับความรุนแรงมากกว่า และมีแนวโน้มที่จะขอความช่วยเหลือน้อยกว่า
เราได้นิยามอำนาจของความเป็นผู้ชายในรูปแบบที่สร้างความเสียหายใหญ่หลวงต่อผู้ชาย
ความเท่าเทียมทางเพศมีประโยชน์มหาศาลต่อความสัมพันธ์ส่วนตัวของผู้ชายเอง ผู้ชายที่แบ่งปันความรักความห่วงใยและใช้เวลากับครอบครัวมากขึ้น จะมีความสุขมากขึ้นและลูก ๆ ของพวกเขาก็จะมีความสุขมากขึ้น
เมื่อเรามองในระดับที่ใหญ่ขึ้น การเปลี่ยนแปลงสมดุลของอำนาจคือสิ่งจำเป็น ไม่เพียงแต่เพื่อสิทธิมนุษยชน การพัฒนาส่วนบุคคล สุขภาพ และความเป็นอยู่ที่ดี
แต่ยังเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการแก้ปัญหาเรื้อรังที่สร้างความเสียหายมากที่สุดในยุคของเรา อันได้แก่ ความเหลื่อมล้ำที่ร้าวลึก และการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ไปจนถึงวิกฤตทางสภาพภูมิอากาศ
มิตรสหาย และนักเรียนนักศึกษาที่รัก
ผมมองว่าการมีความเท่าเทียมทางเพศจะช่วยให้เราประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงโลกของเราใน 5 ด้าน
ด้านแรก ความขัดแย้งและความรุนแรง
ความรุนแรงต่อผู้หญิง การกดขี่ทางสิทธิพลเมือง และความขัดแย้งนั้นอยู่ในระนาบเดียวกัน
เราใช้เงินนับล้านล้านดอลลาร์ทุกปีเพื่อสันติภาพและความมั่นคง แต่คำถามก็คือ เพื่อสันติภาพของใคร ความปลอดภัยของใคร
เราเห็นความขัดแย้งระหว่างรัฐปรากฏอยู่ในพาดหัวข่าว แต่ในบางพื้นที่ของโลกที่เผชิญความรุนแรงสูงสุด สถานการณ์ของการสังหารผู้หญิงนั้นโหดร้ายเทียบเท่ากับเขตสงคราม ในแต่ละวัน มีผู้หญิง 137 คนทั่วโลกถูกฆ่าโดยสมาชิกในครอบครัวของตนเอง และอัตราการยกเว้นโทษนั้นสูงกว่าร้อยละ 95 ในบางประเทศ
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ไม่มีใครเรียกร้องให้หยุดยิงหรือใช้มาตรการคว่ำบาตรกับผู้ชายที่ทำสงครามกับผู้หญิง
และวิธีที่สังคมหนึ่ง ๆ ปฏิบัติต่อผู้หญิง ซึ่งเป็นครึ่งหนึ่งของประชากรทั้งหมด ก็คือตัวบ่งชี้ที่สำคัญที่แสดงให้เห็นว่าสังคมนั้นจะปฏิบัติต่อคนจากสังคมอื่นอย่างไร
การข่มขืนและการบังคับให้เป็นทาสกามคือยุทธวิธีที่ถูกนำมาใช้ในสงครามอยู่เสมอ และความเกลียดชังต่อผู้หญิงก็เป็นส่วนหนึ่งของอุดมการณ์ที่กลุ่มหัวรุนแรงเกือบทุกกลุ่มยึดถือ
ในทางตรงข้าม การเปิดกว้างให้ผู้นำและผู้มีอำนาจตัดสินใจที่เป็นผู้หญิงได้เข้ามามีส่วนในการไกล่เกลี่ยและกระบวนการสันติภาพ จะนำไปสู่สันติภาพที่ยาวนานและยั่งยืนมากขึ้น
สหประชาชาติมุ่งมั่นที่จะให้ผู้หญิงเป็นศูนย์กลางของการป้องกันความขัดแย้ง การสร้างสันติภาพ และความพยายามในการสร้างสันติภาพและการไกล่เกลี่ย และการเพิ่มจำนวนผู้พิทักษ์สันติภาพที่เป็นผู้หญิง
ด้านที่สอง วิกฤติสภาพภูมิอากาศ
สถานการณ์ฉุกเฉินที่เราเผชิญอยู่นั้นเป็นผลมาจากการตัดสินใจที่ทำโดยผู้ชายเป็นส่วนใหญ่ แต่กลับส่งผลกระทบต่อผู้หญิงและเด็กอย่างมากเกินกว่าที่ควรจะเป็น
ภัยแล้งและความอดอยากหมายถึงผู้หญิงที่ต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อหาอาหารและน้ำ ในขณะที่คลื่นความร้อน พายุ และอุทกภัยทำให้ผู้หญิงและเด็กหญิงเสียชีวิตมากกว่าผู้ชายและเด็กชาย
ผู้หญิงและเด็กหญิงเป็นผู้นำและนักกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ Wangari Maathai และ Jane Goodall จนถึงการเคลื่อนไหว Fridays for Future ในปัจจุบัน
แต่ผลกระทบจากความไม่เท่าเทียมทางเพศ ทำให้ความพยายามในการลงมือแก้ปัญหาสภาพอากาศนั้น ถดถอยลง
แนวคิดเรื่องการลดขยะและรีไซเคิลถูกนำเสนอให้ดูเป็นเรื่องของผู้หญิง ในขณะที่ผู้ชายมีแนวโน้มที่จะมั่นใจในการแก้ไขปัญหาด้วยเทคโนโลยีที่ยังไม่ได้รับการทดสอบ
มีหลักฐานมากมายที่แสดงให้เห็นว่าผู้หญิงเปิดกว้างและพยายามลดผลกระทบส่วนบุคคลต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าผู้ชาย
และจากการศึกษาล่าสุด พบว่านักเศรษฐศาสตร์และสมาชิกรัฐสภาที่เป็นผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะสนับสนุนนโยบายที่ยั่งยืนและครอบคลุม
เรายังจะไม่หลุดพ้นจากความเสี่ยง ตราบที่การปกป้องโลกของเรายังถูกมองว่าเป็น “งานของผู้หญิง” หรือเป็นแค่งานบ้านอีกอย่างหนึ่ง
ผมขอมอบคำขอบคุณและความซาบซึ้งใจให้กับคนหนุ่มสาว รุ่น Generation Z รวมถึงพวกคุณหลายคนในห้องนี้ ที่ช่วยกันแก้ไขปัญหาสภาพอากาศและความเท่าเทียมทางเพศ ไปพร้อม ๆ กับการตระหนักถึงความเป็นจริงว่าอัตลักษณ์ทางเพศและแนวทางแก้ปัญหานั้นไม่ควรถูกตีกรอบด้วยความเป็นหญิงหรือชาย
การวางอำนาจอย่างชายไม่ช่วยให้เรากอบกู้โลกได้ แต่ความเสมอภาคทางเพศ และการก้าวออกมาแสดงรับผิดชอบของผู้ชายต่างหากคือสิ่งจำเป็น หากเราต้องการแก้ไขวิกฤตทางภูมิอากาศ
นักเรียนนักศึกษาและมิตรสหายที่รัก
ด้านที่สามที่สิทธิสตรีและการเปิดโอกาสอย่างเท่าเทียมกันสามารถช่วยสร้างความก้าวหน้าได้ ก็คือการสร้างเศรษฐกิจที่เปิดกว้าง
ทั่วทั้งโลก ในขณะที่ผู้ชายทำงานได้ 1 ดอลลาร์ ผู้หญิงจะได้รับเงินเพียง 77 เซ็นต์ การวิจัยล่าสุดของ World Economic Forum พบว่าเราต้องใช้เวลาจนถึงปี ค.ศ. 2255 เพื่อปิดช่องว่างของค่าแรงระหว่างเพศ
ผมจะบอกหลานสาวของผมได้อย่างไรว่าหลานสาวของหลานสาวของผม จะยังคงได้รับค่าจ้างน้อยกว่าผู้ชายที่ทำงานเดียวกันกับเธอ
ความไม่เท่าเทียมในค่าจ้างระหว่างเพศ เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ 70% ของคนยากจนในโลกเป็นผู้หญิงและเด็กหญิง
อีกสาเหตุหนึ่งคือ ผู้หญิงและเด็กหญิงทำงานด้านการดูแลบุคคล ประมาณ 12,000 ล้านชั่วโมง ทุกวัน ทั่วโลก โดยไม่ได้รับค่าจ้าง ซึ่งมากกว่าผู้ชายสามเท่า
ในบางชุมชน ผู้หญิงใช้เวลา 14 ชั่วโมงต่อวัน ในการทำอาหาร ทำความสะอาด เก็บฟืนหาบน้ำ และดูแลเด็กและผู้สูงอายุ
ระบบเศรษฐกิจจัดประเภทเวลาเหล่านี้ว่าเป็น “เวลาว่าง”
ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศมองว่าการทำงานทุกอย่างที่เกิดขึ้นในบ้านไม่มีมูลค่า แต่ตัวชี้วัดที่มีข้อบกพร่องนี้กลับถูกใช้เป็นพื้นฐานในการตัดสินใจทางเศรษฐกิจ บิดเบือนนโยบาย และปฏิเสธโอกาสของผู้หญิง
ผู้หญิงที่มีรายได้มีแนวโน้มมากกว่าผู้ชายที่จะลงทุนในครอบครัวและชุมชนของพวกเขา สร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ และทำให้พวกเขาสามารถรับมือและฟื้นตัวจากปัญหาได้ดีขึ้น
ผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะมองการณ์ไกลกว่า คณะกรรมการบริษัทที่มีผู้หญิงรวมอยู่ด้วยจะมีเสถียรภาพและทำกำไรได้มากกว่า
เมื่อเร็ว ๆนี้ ของธนาคารเพื่อการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกตัดสินใจว่าที่จะไม่จดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชน นอกเสียจากว่าจะมีคณะกรรมบริษัทที่เป็นผู้หญิงร่วมอยู่ด้วย การตัดสินใจนี้ไม่ใช่เรื่องทางศีลธรรม แต่เป็นไหวพริบทางเศรษฐกิจ
สิทธิและโอกาสทางเศรษฐกิจที่เท่าเทียมของผู้หญิงคือสิ่งจำเป็นระดับโลก หากเราต้องสร้างระบบโลกาภิวัตน์ที่เป็นธรรมและเหมาะสมกับทุกคน
ด้านที่สี่ ความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล
เมื่อปีก่อน คู่สามีภรรยาคู่หนึ่งร้องเรียนว่าวงเงินในบัตรเครดิตของสามีนั้นสูงกว่าภรรยาถึง 20 เท่า แม้ว่าภรรยาจะมีคะแนนเครดิตที่สูงกว่า ธนาคารกล่าวว่าความคลาดเคลื่อนนี้เกิดจากระบบอัลกอริทึม
แต่เมื่อเรามองไปยังความจริงที่ว่า ตำแหน่งงานในอาชีพด้านปัญญาประดิษฐ์นั้นประกอบด้วยผู้หญิงเพียงแค่ร้อยละ 26 ก็ไม่น่าแปลกใจที่อัลกอริทึมหลายอย่างนั้นจะดูเอื้อต่อผู้ชาย
เทคโนโลยีดิจิทัลสามารถเป็นขุมพลังที่ยิ่งใหญ่สำหรับสิ่งที่ดี แต่ผมกังวลเหลือเกินที่ได้เห็นการครอบงำโดยผู้ชายในอาชีพด้านเทคโนโลยีในมหาวิทยาลัย ในบริษัทสตาร์ทอัพ และในซิลิคอน วัลเลย์ของโลกใบนี้
ศูนย์กลางทางเทคโนโลยีเหล่านี้กำลังสร้างเศรษฐกิจและสังคมแห่งอนาคต ที่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อการเปลี่ยนแปลงของความสัมพันธ์เชิงอำนาจ
หากผู้หญิงยังไม่มีบทบาทที่เท่าเทียมกันในการออกแบบเทคโนโลยีดิจิทัล ความก้าวหน้าด้านสิทธิสตรีอาจถดถอยและสวนทางได้
การขาดความหลากหลายจะไม่เพียงแต่ขยายขอบเขตของความไม่เท่าเทียมทางเพศ แต่จะสร้างข้อจำกัดให้กับนวัตกรรม และขอบเขตของเทคโนโลยีใหม่ ๆ ทำให้ทุกคนใช้ประโยชน์จากมันได้น้อยลง
ด้านสุดท้าย ด้านที่ห้า การเป็นตัวแทนทางการเมือง
การมีส่วนร่วมของผู้หญิงในรัฐสภาทั่วโลกเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา โดยเพิ่มขึ้นมาเป็นหนึ่งในสี่ น้อยกว่าหนึ่งในสิบประเทศทั่วโลกมีผู้นำเป็นผู้หญิง
แต่การเป็นตัวแทนของผู้หญิงในรัฐบาลนั้นไม่ได้เกี่ยวกับแค่ “ปัญหาของผู้หญิง” แบบที่คนชอบเหมารวม เช่น การต่อต้านการล่วงละเมิดทางเพศ หรือการส่งเสริมการดูแลเด็ก ผู้หญิงในรัฐบาลขับเคลื่อนความก้าวหน้าทางสังคม และการเปลี่ยนแปลงที่มีความหมายต่อชีวิตของผู้คนเช่นกัน
ผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะสนับสนุนการลงทุนด้านการศึกษาและสุขภาพ และการหาฉันทามติและจุดร่วมระหว่างพรรค
เมื่อจำนวนผู้หญิงในสภามีจำนวนมากถึงระดับหนึ่ง รัฐบาลมีแนวโน้มที่จะคิดค้นนวัตกรรมได้และท้าทายความเชื่อดั้งเดิม
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ผู้หญิงในการเมืองกำลังให้นิยามใหม่กับอำนาจและการกระจายอำนาจ
มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ที่รัฐบาลที่กำหนดนิยามใหม่ให้กับผลผลิตมวลรวมในประเทศเพื่อให้ครอบคลุมถึงความเป็นอยู่ที่ดีและความยั่งยืนนั้นมีผู้นำเป็นผู้หญิง
มันเป็นคณิตศาสตร์ง่ายๆ การมีส่วนร่วมของผู้หญิงช่วยให้สถาบันต่าง ๆ มีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น
การมีทรัพยากร ความสามารถ และความเชี่ยวชาญในการตัดสินใจเพิ่มเป็นสองเท่า เป็นประโยชน์ต่อทุกคน
หนึ่งในวาระสำคัญอันดับต้น ๆ ของผมในฐานะเลขาธิการสหประชาชาติ คือการทำให้ผู้หญิงได้ดำรงตำแหน่งผู้นำมากขึ้น ในวันที่ 1 มกราคมปีนี้ เราบรรลุความเท่าเทียมทางเพศในจำนวนผู้ปฏิบัติงานเต็มเวลาระดับผู้นำอาวุโส โดยมีหญิง 90 คน และชาย 90 คน เร็วกว่าเป้าหมายที่เรากำหนดไว้ถึงสองปี ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ผมตั้งไว้ตั้งแต่แรกเข้ามาดำรงตำแหน่ง และเรามีแผนงานอยู่ในมือแล้วเพื่อที่จะทำให้เกิดความเท่าเทียมกันในทุกระดับในปีต่อ ๆ ไป
แต่การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญและล่าช้ากว่ากำหนดมานานแสนนาน ก็คือการยอมรับในสิทธิและความสามารถที่เท่าเทียมกันของผู้ปฏิบัติงานหญิง การเปลี่ยนแปลงนี้ยังเกี่ยวข้องกับการปรับปรุงประสิทธิภาพและประสิทธิผลเพื่อผู้คนที่เรารับใช้อีกด้วย
นักเรียนนักศึกษา และมิตรสหายที่รัก
โอกาสหนึ่งที่เรามองเห็นท่ามกลาง “ปัญหาที่มนุษย์สร้างขึ้น” ผมเลือกใช้คำเช่นนี้อย่างจงใจ ก็คือ “ทางออกที่มนุษย์เป็นผู้นำ”
สังคมที่หญิงเป็นใหญ่ที่เติบโตรุ่งเรืองตลอดระยะเวลาของประวัติศาสตร์ทั่วโลกแสดงให้เห็นว่าแนวคิดชายเป็นใหญ่ หาใช่สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ในระยะหลัง ๆ เราได้เห็นผู้หญิง หลายคนยังอายุน้อย ออกมาเรียกร้องเพื่อการปฏิรูปเปลี่ยนแปลง
จากซูดาน ถึงชิลี ถึงเลบานอน พวกเขาเรียกร้องเพื่ออิสรภาพจากความรุนแรง เพื่อการมีตัวแทนที่มากขึ้น เพื่อการดำเนินการด้านสภาพอากาศอย่างเร่งด่วน และตั้งคำถามกับระบบเศรษฐกิจที่ล้มเหลวในการมอบโอกาสและการเติมเต็มให้กับคนมากมาย
ผู้นำรุ่นใหม่เหล่านี้ควรค่าแก่การได้รับการสนับสนุนจากเรา
ความเท่าเทียมทางเพศคือส่วนหนึ่งของดีเอ็นเอของสหประชาชาติ สิทธิที่เท่าเทียมกันของผู้หญิงและผู้ชายถูกบัญญัติไว้ในกฎบัตรสหประชาชาติ เอกสารที่เป็นรากฐานของเรา และในปีนี้ เนื่องในโอกาสครบรอบ 75 ปีของสหประชาชาติ และโอกาสครบรอบ 25 ปีของการประชุมว่าด้วยสิทธิสตรี ณ กรุงปักกิ่ง เราจะเพิ่มความพยายามเป็นสองเท่าในการสนับสนุนสิทธิสตรีในทุกภาคส่วน
เมื่อเดือนที่แล้ว สหประชาชาติได้เปิดตัวโครงการ “ทศวรรษแห่งการทำจริง” เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนซึ่งเป็นพิมพ์เขียวของความร่วมมือระหว่างเราและรัฐบาลทั่วโลก ในการสร้างสังคมที่สงบสุข เจริญรุ่งเรือง และเปิดกว้างบนโลกที่แข็งแรง
ความเท่าเทียมทางเพศคือเป้าหมายในตัวของมันเอง และเป็นกุญแจสู่การบรรลุเป้าหมายอื่นอีก 16 ข้อ
“ทศวรรษแห่งการทำจริง” มีวัตถุประสงค์เพื่อเปลี่ยนสถาบันและโครงสร้าง ขยายการเปิดกว้าง และขับเคลื่อนให้เกิดความยั่งยืน
การยกเลิกกฎหมายที่เลือกปฏิบัติต่อผู้หญิงและเด็กหญิง การเพิ่มการป้องกันต่อความรุนแรง การปิดช่องว่างทางการศึกษาของเด็กหญิงและความเลื่อมล้ำทางเทคโนโลยีดิจิทัล การสร้างหลักประกันในการเข้าถึงบริการและสิทธิทางเพศและอนามัยเจริญพันธุ์อย่างเต็มรูปแบบ และการยุติความเหลื่อมล้ำทางรายได้ระหว่างเพศ เหล่านี้เป็นเพียงเป้าหมายบางส่วนของเรา
ความเป็นผู้นำและการมีส่วนร่วมที่เท่าเทียมกันของผู้หญิงคือพื้นฐานที่สำคัญ
นั่นคือเหตุผลที่ผมสนับสนุนการกำหนดสัดส่วนเพศของผู้ปฏิบัติงานอย่างเสมอมาในอดีต เพราะเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วรุนแรงในสมดุลของอำนาจ ได้เวลาแล้วที่เราจะต้องสร้างความเท่าเทียมทางเพศในรัฐบาล รัฐสภา คณะกรรมการบริษัท และในทุกสถาบัน
ในอีกสองปีข้างหน้า ผมตั้งใจจะทำงานในส่วนของผมให้หนักขึ้น เพื่อเน้นความสำคัญและสนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศในงานทุกด้านของเรา
ผมจะติดต่อไปยังรัฐบาลที่มีกฎหมายที่เลือกปฏิบัติเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนแปลง และเสนอการช่วยเหลือ และจะกระตุ้นให้รัฐบาลชุดใหม่แต่ละชุดทำงานเพื่อบรรลุความเท่าเทียมทางเพศในตำแหน่งผู้นำระดับสูง
ผมจะหาแนวทางในการใช้อิทธิพลของสหประชาชาติให้มากที่สุด เพื่อให้แน่ใจว่าผู้หญิงจะได้รับความเสมอภาคในกระบวนการสันติภาพ และจะส่งเสริมการทำงานของเราที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างความรุนแรงต่อผู้หญิงกับสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ
ผมจะยังคงเดินทางเพื่อพบปะพูดคุยกับผู้หญิงที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรง
ผมจะสนับสนุนให้มีการเพิ่มมาตรวัดระดับความเป็นอยู่ที่ดีและความยั่งยืนเข้าไปในตัวเลขผลผลิตมวลรวมในประเทศ และสนับสนุนให้การทำงานในบ้านโดยไม่ได้รับค่าจ้างนั้นได้รับค่าตอบแทนตามคุณค่าที่แท้จริง
ผมมุ่งมั่นที่จะขจัดความคิดที่ว่า “ผู้ชายคือค่าตั้งต้น” ให้หมดไปจากสหประชาชาติ เราเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ดังนั้นจึงสำคัญมากที่ข้อมูลของเราจะต้องไม่ตั้งอยู่บนสมมติฐานที่น่าขบขันว่าผู้ชายคือบรรทัดฐาน และผู้หญิงคือข้อยกเว้น
เราต้องการเสียงและการมีส่วนร่วมของผู้หญิงในบทบาทแถวหน้าในการเจรจาสันติภาพและการเจรจาการค้า ที่งานรางวัลออสการ์และใน G20 ในห้องคณะกรรมการบริษัทและห้องเรียน และที่สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ
นักเรียนนักศึกษาและมิตรสหายที่รัก
ความเสมอภาคทางเพศคือเรื่องของอำนาจ อำนาจที่ถูกหวงไว้โดยผู้ชายนับศตวรรษ
มันคือการใช้อำนาจในทางที่ผิดซึ่งทำลายชุมชน เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม ความสัมพันธ์ และสุขภาพของเรา
เราต้องปฏิรูปและปรับเปลี่ยนการกระจายอำนาจเพื่ออนาคตและโลกของเรา
นี่คือเหตุผลที่ผู้ชายทุกคนควรสนับสนุนสิทธิสตรีและความเท่าเทียมทางเพศ
และนี่คือเหตุผลที่ผมเป็นนักสตรีนิยมอย่างภาคภูมิ
ผู้หญิงสามารถทำงานได้ดีเท่าและดีกว่าผู้ชายในแทบทุกมิติ เราต้องเลิกพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงผู้หญิงเสียที และหันมาแก้ไขระบบที่กีดกันผู้หญิงไม่ให้บรรลุศักยภาพสูงสุดของพวกเขา
โครงสร้างอำนาจของเราวิวัฒนาการไปอย่างช้า ๆ มาเป็นเวลานับพันปี แต่มีวิวัฒนาการอีกด้านหนึ่งที่ดูจะช้าเกินกำหนดไปนาน
ศตวรรษที่ 21 จะต้องเป็นศตวรรษแห่งความเท่าเทียมของผู้หญิง
ขอให้เราทุกคนได้มีส่วนร่วมในการทำให้เป้าหมายนี้สำเร็จไปด้วยกัน
ขอบคุณครับ