เรื่อง
25 ตุลาคม 2025
80 ปีแห่งสหประชาชาติและคำมั่นแห่งพหุภาคีนิยม
เมื่อแปดสิบปีก่อน ท่ามกลางเถ้าถ่านแห่งสงคราม โลกได้รวมพลังกันภายใต้แนวคิดอันยิ่งใหญ่ ด้วยความเชื่อมั่นว่า “สันติภาพ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และความรุ่งเรือง จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทุกประเทศร่วมมือกัน” คำประกาศขึ้นต้นแห่งกฎบัตรสหประชาชาติที่ว่า “พวกเราประชาชนแห่งสหประชาชาติ” ยังคงสะท้อนถึงเจตนารมณ์และตัวตนของเราอย่างมั่นคง สหประชาชาติไม่ได้เป็นเพียงแค่องค์กรหนึ่งเท่านั้น หากแต่เป็น “คำมั่นที่มีชีวิต” ที่ก้าวข้ามผ่านพรมแดน เชื่อมโยงผู้คนจากทุกทวีป และส่งต่อแรงบันดาลใจจากรุ่นสู่รุ่นวันนี้ คำมั่นนี้กำลังถูกท้าทายอีกครั้ง ความขัดแย้ง การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความเหลื่อมล้ำ และการเสื่อมถอยของความไว้วางใจซึ่งกันและกัน กำลังสั่นคลอนรากฐานของสังคมโลก มนุษยชาติกำลังเผชิญกับโลกที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่ปัญญาประดิษฐ์ไปจนถึงวิศวกรรมชีวภาพ ซึ่งได้มอบทั้งความหวังและความเสี่ยงในเวลาเดียวกัน ขณะที่ผู้คนทั่วโลกเชื่อมโยงถึงกันมากกว่าที่เคย สิ่งที่เกิดขึ้นในพื้นที่หนึ่ง ย่อมส่งผลกระทบถึงทุกพื้นที่ในโลกอย่างไรก็ตาม แม้จะมีความท้าทายมากเพียงใด แต่บทเรียนจากเมื่อ 80 ปีก่อนก็ยังคงชัดเจน — ไม่มีประเทศใดที่สามารถแก้ไขปัญหาของโลกได้เพียงลำพัง วิกฤตการณ์ของสภาพภูมิอากาศไม่ได้หยุดอยู่แค่เพียงสุดเขตของพรมแดน โรคระบาดและข้อมูลเท็จไปที่ไหนก็ได้โดยไม่ต้องใช้หนังสือเดินทาง หนทางเดียวที่จะเราก้าวต่อไปข้างหน้าได้ คือความร่วมมือ การพูดคุยเพื่อสร้างความเข้าใจ และความรับผิดชอบร่วมกันของประชาคมโลก — นี่คือหัวใจของพหุภาคีนิยมอย่างแท้จริง
ครบรอบ 80 ปีแห่งองค์การสหประชาชาติ เวลาแห่งการฟื้นฟูและปรับเปลี่ยนเพื่ออนาคตเนื่องในโอกาสครบรอบ 80 ปีแห่งการก่อตั้งสหประชาชาติ เราไม่ได้แค่เพียงเฉลิมฉลองถึงประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา แต่เรายังมองไปสู่อนาคตข้างหน้าด้วยความมุ่งมั่น เมื่อต้นปีที่ผ่านมา เลขาธิการสหประชาชาติได้เปิดตัวโครงการ “UN80 Initiative” ซึ่งถือเป็นการปฏิรูปครั้งสำคัญในรอบหลายทศวรรษ เพื่อเตรียมความพร้อมให้เราสามารถรับมือกับความท้าทายที่ซับซ้อนมากขึ้นในโลกปัจจุบันขณะเดียวกัน โครงการนี้ยังตอกย้ำคุณค่าที่เรายึดมั่นผ่านกฎบัตรแห่งสหประชาชาติมาโดยตลอด คือ สันติภาพ สิทธิมนุษยชน และการพัฒนาอย่างยั่งยืนนอกจากนี้ ประเทศสมาชิกยังได้ให้การรับรอง “ปฏิญญาเพื่ออนาคต” (Pact for the Future) ซึ่งเป็นข้อตกลงร่วมของประชาคมโลกในการปรับปรุงระบบพหุภาคีนิยมให้ทันสมัย ครอบคลุม โปร่งใส และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น การริเริ่มทั้งสองแนวทางนี้ได้ร่วมกันกำหนดทิศทางอนาคต ที่จะช่วยให้เราปฎิบัติภารกิจได้อย่างสอดคล้องกับเป้าหมาย และก้าวไปสู่โลกที่ทุกคนเท่าเทียมและเติบโตอย่างยั่งยืน
ศูนย์กลางแห่งความร่วมมือระดับภูมิภาคและการเติบโตร่วมกันประเทศไทยเข้าร่วมเป็นสมาชิกแห่งสหประชาชาติ ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2489 ซึ่งนับเป็นหนึ่งในประเทศสมาชิกกลุ่มแรกๆ และได้มีบทบาทสำคัญหลายด้าน อาทิ ภารกิจรักษาสันติภาพ การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม การส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ และการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน กำลังพลของไทยได้ร่วมปฏิบัติภารกิจอย่างกล้าหาญในพื้นที่ทุรกันดารทั่วโลก ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของคนไทยในการร่วมรับผิดชอบต่อประชาคมโลกกรุงเทพมหานครถือเป็นหนึ่งในศูนย์กลางของระบบพหุภาคีที่สำคัญของโลก เป็นที่ตั้งของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งเอเชียและแปซิฟิก (ESCAP) ซึ่งเป็นองค์กรหลักด้านความร่วมมือระดับภูมิภาค และเป็นหนึ่งในหน่วยงานระดับภูมิภาคที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดของสหประชาชาติ บทบาทนี้ทำให้ประเทศไทยไม่เพียงเป็นพันธมิตรระดับชาติที่เข้มแข็ง แต่ยังเป็นเมืองหลวงแห่งพหุภาคีนิยมที่เชื่อมโยงระหว่างพันธกิจของโลกกับการปฏิบัติในระดับภูมิภาคอย่างแท้จริงจากการขับเคลื่อนด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ไปจนถึงการพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ประเทศไทยได้แสดงให้เห็นถึงภาวะผู้นำและเปิดกว้างในการทำงาน ซึ่งช่วยผลักดันให้เกิดความก้าวหน้าทั้งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและเวทีโลก การเป็นเจ้าภาพในการดำเนินงานระดับภูมิภาคของสหประชาชาติหลากหลายหน่วยงาน ยังสะท้อนให้เห็นถึงจิตวิญญาณของไทย ที่ยึดมั่นและให้ความสำคัญต่อการเป็นพันธมิตร สร้างความเข้าใจ และพัฒนาร่วมกัน ซึ่งเป็นหัวใจของพหุภาคีนิยมอย่างแท้จริง
ความร่วมมือระหว่างสหประชาชาติและประเทศไทยหน่วยงานของสหประชาชาติทุกแห่งในไทย ได้ร่วมกันภายใต้กรอบความร่วมมือแห่งสหประชาชาติ (UN Cooperation Framework) และทำงานร่วมกับกระทรวงต่าง ๆ ของภาครัฐ ภาคประชาสังคม สถาบันการศึกษา และหน่วยงานเอกชน เพื่อส่งเสริมให้ชุมชนปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล และผลักดันความเท่าเทียมทางเพศ ควบคู่ไปกับการสร้างสังคมที่ทุกคนมีส่วนร่วมไม่ว่าจะเป็นการอนุรักษ์ป่าไม้ การขยายโอกาสทางการศึกษา หรือการสนับสนุนระบบคุ้มครองทางสังคมสำหรับกลุ่มผู้เปราะบาง การดำเนินงานเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อที่เรามีร่วมกันว่าความเจริญก้าวหน้าจะเกิดขึ้นได้เมื่อทุกคนมีส่วนร่วมและสร้างประโยชน์ร่วมกันอย่างยั่งยืนนอกจากนี้ ประเทศไทยยังได้จัดทำรายงานทบทวนความคืบหน้าในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนภาคสมัครใจ (Voluntary National Review) จำนวนถึง 3 ฉบับ ซึ่งแสดงให้เห็นถึง ความโปร่งใส และมุ่งมั่นที่จะร่วมมือกับประชาคมโลก ในขณะที่หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของไทยยังเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า ค่านิยมด้านความยั่งยืนของท้องถิ่นสามารถจุดประกายความคิดในระดับโลกได้อย่างแท้จริง
ถึงเวลาหยัดยืนเพื่อพหุภาคีนิยมในโอกาสวันสหประชาชาติปีนี้ ซึ่งตรงกับครบรอบ 80 ปีแห่งการก่อตั้งสหประชาชาติ จึงถือเป็นโอกาสอันดีที่เราจะได้ทบทวนถึงสิ่งที่ร่วมกันสร้างมา พหุภาคีนิยมไม่ใช่แนวคิดที่เป็นนามธรรม แต่คือแนวทางที่โลกใช้ร่วมกันในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น และเป็นภาพสะท้อนของโลกที่เราต้องการจะส่งต่อให้คนรุ่นต่อไปการยืนหยัดเพื่อพหุภาคีนิยม คือการเลือกยืนอยู่ข้างสันติภาพแทนความแตกแยก ร่วมมือแทนการแข่งขัน และไว้วางใจแทนการแบ่งแยก ซึ่งสะท้อนความเชื่อที่ว่า ยิ่งเราร่วมแรงร่วมใจกันมากเท่าไร เราก็จะยิ่งมีพลังมากขึ้นเท่านั้น
มองไปสู่อนาคตข้างหน้า นายอันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ ได้กล่าวไว้ว่า ความท้าทายในศตวรรษนี้เรียกร้องให้สหประชาชาติเพิ่มบทบาทในการรับฟังมากขึ้น ดำเนินการให้เร็วขึ้น และลงมือทำสิ่งที่ถูกต้องอย่างกล้าหาญ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องอาศัยความร่วมมืออย่างจริงใจ และไว้วางใจกันจากทุกประเทศ ชุมชน และประชาคมโลกเพื่อมุ่งไปสู่ในอีก 80 ปีข้างหน้า เรามาร่วมกันฟื้นฟูคำมั่นแห่ง “เรา เหล่าประชาชาติ” (We the Peoples) อีกครั้ง คำมั่นที่ยืนยันว่า สันติภาพ ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ และความรุ่งเรืองจะเกิดขึ้นได้ เมื่อเราร่วมมือกันเป็นหนึ่งเดียวในโอกาสวันสหประชาชาติปีนี้ ข้าพเจ้าขอแสดงความชื่นชมและขอบคุณต่อรัฐบาลไทย ประเทศสมาชิก และประชาชนชาวไทยทุกคน สำหรับความร่วมมืออันแน่วแน่และความเชื่อมั่นในคุณค่าของพหุภาคีนิยมสหประชาชาติคือเรื่องราวของความเพียร ความร่วมมือ และความหวัง ขอให้เราร่วมกันสานต่อภารกิจนี้ เพื่อสร้างโลกที่สะท้อนคุณค่าที่งดงามที่สุดของความเป็นมนุษย์ — โลกที่ไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลังบทความโดย มิเกลล่า ฟิลแบรย์-สตอเร่ ผู้แทนเลขาธิการสหประชาชาติประจำประเทศไทย เนื่องในวันสหประชาชาติ (24 ตุลาคม พ.ศ. 2568) และในโอกาสครบรอบ 80 ปีแห่งการก่อตั้งองค์การสหประชาชาติบทความนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์
ครบรอบ 80 ปีแห่งองค์การสหประชาชาติ เวลาแห่งการฟื้นฟูและปรับเปลี่ยนเพื่ออนาคตเนื่องในโอกาสครบรอบ 80 ปีแห่งการก่อตั้งสหประชาชาติ เราไม่ได้แค่เพียงเฉลิมฉลองถึงประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา แต่เรายังมองไปสู่อนาคตข้างหน้าด้วยความมุ่งมั่น เมื่อต้นปีที่ผ่านมา เลขาธิการสหประชาชาติได้เปิดตัวโครงการ “UN80 Initiative” ซึ่งถือเป็นการปฏิรูปครั้งสำคัญในรอบหลายทศวรรษ เพื่อเตรียมความพร้อมให้เราสามารถรับมือกับความท้าทายที่ซับซ้อนมากขึ้นในโลกปัจจุบันขณะเดียวกัน โครงการนี้ยังตอกย้ำคุณค่าที่เรายึดมั่นผ่านกฎบัตรแห่งสหประชาชาติมาโดยตลอด คือ สันติภาพ สิทธิมนุษยชน และการพัฒนาอย่างยั่งยืนนอกจากนี้ ประเทศสมาชิกยังได้ให้การรับรอง “ปฏิญญาเพื่ออนาคต” (Pact for the Future) ซึ่งเป็นข้อตกลงร่วมของประชาคมโลกในการปรับปรุงระบบพหุภาคีนิยมให้ทันสมัย ครอบคลุม โปร่งใส และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น การริเริ่มทั้งสองแนวทางนี้ได้ร่วมกันกำหนดทิศทางอนาคต ที่จะช่วยให้เราปฎิบัติภารกิจได้อย่างสอดคล้องกับเป้าหมาย และก้าวไปสู่โลกที่ทุกคนเท่าเทียมและเติบโตอย่างยั่งยืน
ศูนย์กลางแห่งความร่วมมือระดับภูมิภาคและการเติบโตร่วมกันประเทศไทยเข้าร่วมเป็นสมาชิกแห่งสหประชาชาติ ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2489 ซึ่งนับเป็นหนึ่งในประเทศสมาชิกกลุ่มแรกๆ และได้มีบทบาทสำคัญหลายด้าน อาทิ ภารกิจรักษาสันติภาพ การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม การส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ และการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน กำลังพลของไทยได้ร่วมปฏิบัติภารกิจอย่างกล้าหาญในพื้นที่ทุรกันดารทั่วโลก ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของคนไทยในการร่วมรับผิดชอบต่อประชาคมโลกกรุงเทพมหานครถือเป็นหนึ่งในศูนย์กลางของระบบพหุภาคีที่สำคัญของโลก เป็นที่ตั้งของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งเอเชียและแปซิฟิก (ESCAP) ซึ่งเป็นองค์กรหลักด้านความร่วมมือระดับภูมิภาค และเป็นหนึ่งในหน่วยงานระดับภูมิภาคที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดของสหประชาชาติ บทบาทนี้ทำให้ประเทศไทยไม่เพียงเป็นพันธมิตรระดับชาติที่เข้มแข็ง แต่ยังเป็นเมืองหลวงแห่งพหุภาคีนิยมที่เชื่อมโยงระหว่างพันธกิจของโลกกับการปฏิบัติในระดับภูมิภาคอย่างแท้จริงจากการขับเคลื่อนด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ไปจนถึงการพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ประเทศไทยได้แสดงให้เห็นถึงภาวะผู้นำและเปิดกว้างในการทำงาน ซึ่งช่วยผลักดันให้เกิดความก้าวหน้าทั้งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและเวทีโลก การเป็นเจ้าภาพในการดำเนินงานระดับภูมิภาคของสหประชาชาติหลากหลายหน่วยงาน ยังสะท้อนให้เห็นถึงจิตวิญญาณของไทย ที่ยึดมั่นและให้ความสำคัญต่อการเป็นพันธมิตร สร้างความเข้าใจ และพัฒนาร่วมกัน ซึ่งเป็นหัวใจของพหุภาคีนิยมอย่างแท้จริง
ความร่วมมือระหว่างสหประชาชาติและประเทศไทยหน่วยงานของสหประชาชาติทุกแห่งในไทย ได้ร่วมกันภายใต้กรอบความร่วมมือแห่งสหประชาชาติ (UN Cooperation Framework) และทำงานร่วมกับกระทรวงต่าง ๆ ของภาครัฐ ภาคประชาสังคม สถาบันการศึกษา และหน่วยงานเอกชน เพื่อส่งเสริมให้ชุมชนปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล และผลักดันความเท่าเทียมทางเพศ ควบคู่ไปกับการสร้างสังคมที่ทุกคนมีส่วนร่วมไม่ว่าจะเป็นการอนุรักษ์ป่าไม้ การขยายโอกาสทางการศึกษา หรือการสนับสนุนระบบคุ้มครองทางสังคมสำหรับกลุ่มผู้เปราะบาง การดำเนินงานเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อที่เรามีร่วมกันว่าความเจริญก้าวหน้าจะเกิดขึ้นได้เมื่อทุกคนมีส่วนร่วมและสร้างประโยชน์ร่วมกันอย่างยั่งยืนนอกจากนี้ ประเทศไทยยังได้จัดทำรายงานทบทวนความคืบหน้าในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนภาคสมัครใจ (Voluntary National Review) จำนวนถึง 3 ฉบับ ซึ่งแสดงให้เห็นถึง ความโปร่งใส และมุ่งมั่นที่จะร่วมมือกับประชาคมโลก ในขณะที่หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของไทยยังเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า ค่านิยมด้านความยั่งยืนของท้องถิ่นสามารถจุดประกายความคิดในระดับโลกได้อย่างแท้จริง
ถึงเวลาหยัดยืนเพื่อพหุภาคีนิยมในโอกาสวันสหประชาชาติปีนี้ ซึ่งตรงกับครบรอบ 80 ปีแห่งการก่อตั้งสหประชาชาติ จึงถือเป็นโอกาสอันดีที่เราจะได้ทบทวนถึงสิ่งที่ร่วมกันสร้างมา พหุภาคีนิยมไม่ใช่แนวคิดที่เป็นนามธรรม แต่คือแนวทางที่โลกใช้ร่วมกันในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น และเป็นภาพสะท้อนของโลกที่เราต้องการจะส่งต่อให้คนรุ่นต่อไปการยืนหยัดเพื่อพหุภาคีนิยม คือการเลือกยืนอยู่ข้างสันติภาพแทนความแตกแยก ร่วมมือแทนการแข่งขัน และไว้วางใจแทนการแบ่งแยก ซึ่งสะท้อนความเชื่อที่ว่า ยิ่งเราร่วมแรงร่วมใจกันมากเท่าไร เราก็จะยิ่งมีพลังมากขึ้นเท่านั้น
มองไปสู่อนาคตข้างหน้า นายอันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ ได้กล่าวไว้ว่า ความท้าทายในศตวรรษนี้เรียกร้องให้สหประชาชาติเพิ่มบทบาทในการรับฟังมากขึ้น ดำเนินการให้เร็วขึ้น และลงมือทำสิ่งที่ถูกต้องอย่างกล้าหาญ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องอาศัยความร่วมมืออย่างจริงใจ และไว้วางใจกันจากทุกประเทศ ชุมชน และประชาคมโลกเพื่อมุ่งไปสู่ในอีก 80 ปีข้างหน้า เรามาร่วมกันฟื้นฟูคำมั่นแห่ง “เรา เหล่าประชาชาติ” (We the Peoples) อีกครั้ง คำมั่นที่ยืนยันว่า สันติภาพ ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ และความรุ่งเรืองจะเกิดขึ้นได้ เมื่อเราร่วมมือกันเป็นหนึ่งเดียวในโอกาสวันสหประชาชาติปีนี้ ข้าพเจ้าขอแสดงความชื่นชมและขอบคุณต่อรัฐบาลไทย ประเทศสมาชิก และประชาชนชาวไทยทุกคน สำหรับความร่วมมืออันแน่วแน่และความเชื่อมั่นในคุณค่าของพหุภาคีนิยมสหประชาชาติคือเรื่องราวของความเพียร ความร่วมมือ และความหวัง ขอให้เราร่วมกันสานต่อภารกิจนี้ เพื่อสร้างโลกที่สะท้อนคุณค่าที่งดงามที่สุดของความเป็นมนุษย์ — โลกที่ไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลังบทความโดย มิเกลล่า ฟิลแบรย์-สตอเร่ ผู้แทนเลขาธิการสหประชาชาติประจำประเทศไทย เนื่องในวันสหประชาชาติ (24 ตุลาคม พ.ศ. 2568) และในโอกาสครบรอบ 80 ปีแห่งการก่อตั้งองค์การสหประชาชาติบทความนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์