ล่าสุด
เรื่อง
26 มีนาคม 2024
'PROTECT' โครงการความร่วมมือของสหภาพยุโรปและองค์การสหประชาชาติโครงการใหม่ส่งเสริมการคุ้มครองแรงงานข้ามชาติหญิงและเด็กในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เรียนรู้เพิ่มเติม
เรื่อง
01 มีนาคม 2024
ปัจจุบันประชากร 1 ใน 8 คนเป็นโรคอ้วน
เรียนรู้เพิ่มเติม
ข่าวประชาสัมพันธ์
19 กุมภาพันธ์ 2024
รองเลขาฯ ยูเอ็น ขอบคุณ มท. พันธมิตร ขับเคลื่อน SDGs 76 จังหวัด
เรียนรู้เพิ่มเติม
ล่าสุด
เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนใน ประเทศไทย
ทีมงานสหประชาชาติในประเทศไทยมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้ง 17 เป้าหมาย โดยเน้นความสำคัญของการพัฒนาอย่างยั่งยืนเชิงพื้นที่ (SDG localization) เพื่อนำวาระการพัฒนาระดับโลกสู่ชุมชนท้องถิ่นให้บรรลุผลลัพธ์ตามเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิผล ผลการดำเนินงานที่มีความโดดเด่นที่ผ่านมา ได้แก่ ความพยายามในการส่งเสริมระบบการคุ้มครองทางสังคมแบบบูรณาการสำหรับทุกคน (เป้าหมาย 1.3) การแก้ปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (เป้าหมายที่ 3.4) การให้การศึกษาที่ครอบคลุมซึ่งรวมถึงเด็กในกลุ่มผู้โยกย้ายถิ่นฐาน (เป้าหมาย 3.4) และการส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของสตรี (เป้าหมาย 5.5) อีกทั้งยังมุ่งเสริมพลังและความเข้มแข็งแก่วิสาหกิจขนาดกลางและย่อม และส่งเสริมนวัตกรรมจากคนรุ่นใหม่โดยเน้นสิทธิมนุษยชนในภาคธุรกิจและการพลิกโฉมวิสาหกิจด้วยระบบดิจิทัล (เป้าหมาย 8.3) การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุมซึ่งรวมถึงกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศสภาพ (LGBTI) (เป้าหมาย 10.2) รวมถึงการดำเนินงานด้านการอภิบาลแรงงานข้ามชาติเพื่อส่งเสริมให้เป็นไปอย่างปลอดภัย ถูกกฎหมาย และมีระเบียบที่ชัดเจน (เป้าหมาย 10.7) นอกจากนั้น องค์การสหประชาชาติยังได้ดำเนินการตามยุทธศาสตร์ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (เป้าหมาย 13.2) การจัดการขยะมูลฝอย (เป้าหมาย 11.6) และการเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมสีเขียว โดยมุ่งส่งเสริมอุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำและภาคการเงินและการลงทุนที่เกื้อหนุนอุตสาหกรรมสีเขียวในหมู่วิสาหกิจขนาดกลางและย่อม (เป้าหมาย 7.2) สนับสนุนสิทธิการเป็นพลเมืองที่ครอบคลุมเพื่อส่งเสริมการเข้าถึงสิทธิของประชาชน (เป้าหมาย 16.9) และแบ่งปันประสบการณ์และแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศของไทยกับนานาประเทศ ผ่านความร่วมมือไตรภาคีแบบใต้-ใต้ (เป้าหมาย 17.9) สู่การพลิกโฉมสังคมไทยไปพร้อมกับทุกภาคส่วน ให้มีความรุ่งเรือง มั่งคั่ง ยั่งยืน และครอบคลุม
ลงมือทำ
15 สิงหาคม 2023
ส่องวิธีประหยัดพลังงาน ลดค่าไฟ-ดีต่อโลก
เรายังคงใช้ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซเป็นส่วนใหญ่เพื่อผลิตไฟฟ้าและความร้อน คุณจะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ ในบ้านของคุณได้อย่างไร? ดูได้ที่นี่เลย!
1 of 5
วิดีโอ
15 สิงหาคม 2023
กระทรวงมหาดไทย-UN-องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก:TGO-KBank ลงนามเทรดคาร์บอนเครดิต
1 of 5
สิ่งพิมพ์
05 กุมภาพันธ์ 2024
2023 UN Thailand Annual Results Report
The Annual Results Report provides a high-level narrative of the UN Country Team’s contributions to accelerating the Sustainable Development Goals (SDGs) at scale in partnership with the government, private sector, and civil society. Individually each of the 21 UN agencies brings its own specialized area of expertise; together they contribute comprehensively to the Sustainable Development Cooperation Framework with Thailand. In support of this framework the UN brings to bear technical, normative and policy solutions to facilitate Thailand’s transformation into a more equitable, inclusive, and prosperous nation in alignment with its national priorities.
In tandem, the UN has maximized its convening role through the Global Compact Network in Thailand, whose commitments on carbon neutrality, biodiversity conservation and human capital investment is raising ambition for the industrial, business, and agricultural sectors. The UN Country Team has taken the localization of SDGs countrywide in partnership with the 77 Governors for the benefit of all, including the most vulnerable. Together with the government, the UN has also bolstered South-South Triangular Cooperation to take best practices from Thailand to the regional and global stage.
Among its primary aims, the UN is contributing to lowering emissions, generating carbon credits, boosting digitization to upskill the labor force, including people with disabilities, and reducing informality. In the spirit of leaving no one behind it offers solutions to empower youth and women, promote human rights, ensure the wellbeing of migrants and refugees, and leverage digital healthcare solutions to expand their reach to the remotest of villages.
By continuing to work closely with all stakeholders, the UN will intensify its efforts in the next year to support Thailand to fast-track the achievement of the SDGs. It expresses gratitude to the Ministry of Foreign Affairs, National Economic and Social Development Council, and Line Ministries, as well as the private sector and civil society for their continued partnerships.
1 of 5
เรื่อง
27 เมษายน 2023
'สภาพแวดล้อมปลอดภัย-ดีต่อสุขภาพ' สิทธิขั้นพื้นฐานสำหรับแรงงานทุกคน
ทุกปีของวันที่ 28 เมษายน ถือเป็น 'วันความปลอดภัยและอาชีวอนามัยสากล' ซึ่งองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ได้เริ่มให้มีการกําหนดวันความปลอดภัยฯ เมื่อปี 2545 เพื่อการรณรงค์ส่งเสริมแนวคิดในการสร้างและก่อให้เกิดวัฒนธรรมความปลอดภัยและอาชีวอนามัยอย่างยั่งยืน
Keypoint:
วันความปลอดภัยและอาชีวอนามัยสากล รณรงค์เพื่อสร้างความยั่งยืนในการทำงาน พร้อมทั้งระลึกถึงแรงงานผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บนานาชาติ
การมีสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ปลอดภัยและดีต่อสุขภาพเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานสำหรับแรงงาน
เมื่อแรงงานรู้สึกปลอดภัยและมีสุขภาพดีในที่ทำงาน แรงงานมีแนวโน้มจะสร้างผลิตภาพและประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น
แนวคิดดังกล่าว เพื่อเป็นวันที่มีการระลึกถึงแรงงาน ซึ่งบรรดาแรงงานในสหรัฐอเมริกาและแคนาดาได้ริเริ่มขึ้นเมื่อปี2532 เพื่อรําลึกถึงคนงานที่เสียชีวิตและบาดเจ็บ โดยกําหนดให้เป็นวันที่ 28 เมษายนของทุกปีสหพันธ์สหภาพแรงงานเสรีนานาชาติ และสมาพันธ์สหภาพแรงงานโลก ได้ขยายผลของกิจกรรมนี้ในระดับโลก
โดยได้เน้นการรณรงค์เพื่อความยั่งยืนในการทํางาน เป็นวันระลึกถึงแรงงานผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บนานาชาติ (International Commemoration Day for Dead and Injured Workers) ได้กลายเป็นวันสําคัญในประเทศต่าง ๆ มากกว่า 100 ประเทศ จึงนับว่าวันความปลอดภัยและอาชีวอนามัยสากล
ทั้งนี้ เพื่อการฉลองวันความปลอดภัยและอาชีวอนามัยสากล ชิโฮโกะ อาซาดะ มิยากาวะ ผู้อำนวยการองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ชี้ให้เห็นว่าการมีสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ปลอดภัยและดีต่อสุขภาพเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานสำหรับแรงงานเป็นเรื่องสำคัญ และมีสิ่งใดบ้างที่เราสามารถทำให้สิทธิดังกล่าวเกิดขึ้นจริงได้
อุบัติเหตุ-ความสูญเสียเกิดขึ้นต่อแรงงานทุกวัน
เป็นเวลาสิบปีแล้วที่เกิดเหตุโศกนาฎกรรม อาคารรานา พลาซ่า (Rana Plaza) ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงธากา ประเทศบังกลาเทศถล่ม ในวันนั้นมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 1,132 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าและผู้บาดเจ็บกว่า 2,500 คน
โศกนาฎกรรมดังกล่าวได้รับความสนใจทั่วโลกและนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม ในขณะที่หายนะเช่น Rana Plaza เป็นข่าวใหญ่ อุบัติเหตุและการเสียชีวิตยังคงเกิดขึ้นในที่ทำงานทั่วทุกประเทศทุกวัน
อันที่จริงแล้ว ในทุก ๆ ปี มีผู้หญิงและผู้ชายราว 2.9 ล้านคนทั่วโลกเสียชีวิตจากอุบัติเหตุหรือโรคจากการทำงานซึ่งหมายความว่า จะมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 8,000 คนต่อวัน
ความสูญเสียที่เกิดขึ้นนั้นมีมูลค่ามหาศาล ทั้งในแง่ของความโศกเศร้าและความทุกข์ยากที่เกิดขึ้นต่อบุคคล ตลอดจนความสูญเสียทางเศรษฐกิจ
ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2565 องค์การแรงงานระหว่างประเทศได้ดำเนินการครั้งสำคัญเมื่อมีการพิจารณาให้การมีสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัยและดีต่อสุขภาพเป็นหนึ่งในสิทธิขั้นพื้นฐานภายใต้ปฏิญญาว่าด้วยหลักการและสิทธิขั้นพื้นฐานในการทำงาน
ทำไม? เรื่องสภาพแวดล้อมในที่ทำงานจึงสำคัญ
เรื่องนี้สำคัญก็เพราะว่าในวันนี้ความปลอดภัยและอาชีวอนามัยไม่ใช่เรื่องที่เป็นตัวเลือกอีกต่อไปแล้ว ประเทศสมาชิกของ ไอแอลโอ ทั้งหมด 186 ประเทศมีพันธกรณีที่ต้องเคารพ ส่งเสริม และบรรลุการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัยและที่ดีต่อสุขภาพในฐานะหลักการและสิทธิขั้นพื้นฐานในการทำงาน โดยไม่คำนึงว่าประเทศสมาชิกจะให้สัตยาบันอนุสัญญาองค์การระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยและอาชีวอนามัยหรือไม่
ประการแรกและสำคัญที่สุด ไอแอลโอ ตระหนักว่าแรงงานทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับการคุ้มครองจากอันตรายและความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจก่อให้เกิดการบาดเจ็บ เจ็บป่วยหรือเสียชีวิตในที่ทำงาน
โดยการกำหนดให้ความปลอดภัยและอาชีวอนามัย (OSH) เป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน ไอแอลโอ กำลังสร้างความเข้าใจกับรัฐบาลและนายจ้างถึงหน้าที่และความรับผิดชอบในการสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ปลอดภัยและดีต่อสุขภาพสำหรับแรงงานทุกคน
จากการวิเคราะห์ต้นทุนและประโยชน์ที่จัดทำขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ โดยสำนักงานเลขาธิการอาเซียนว่าด้วยความปลอดภัยและอาชีวอนามัยในการทำงานในภาคการก่อสร้างพบว่าการคุ้มครองสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของแรงงานไม่ใช่เพียงแค่ความจำเป็นทางคุณธรรม แต่เป็นเรื่องของการดำเนินธุรกิจที่ดีด้วยเช่นกัน
เมื่อแรงงานรู้สึกปลอดภัยและมีสุขภาพดีในที่ทำงาน แรงงานมีแนวโน้มจะสร้างผลิตภาพและประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อแรงงาน นายจ้าง ตลอดจนเศรษฐกิจในวงกว้าง ในทางกลับกัน เมื่อแรงงานได้รับบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยเนื่องจากอันตรายจากการทำงาน อาจส่งผลเสียอย่างมากต่อผลิตภาพแรงงานและการเติบโตทางเศรษฐกิจ
"การกำหนดให้ความปลอดภัยและอาชีวอนามัยในการทำงานเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานส่งเสริมความยุติธรรมทางสังคมและความเท่าเทียม สิ่งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งโดยเฉพาะต่อแรงงานในชุมชนชายขอบซึ่งอาจมีความเสี่ยงต่ออันตรายจากการทำงานที่สูงกว่า เนื่องจากปัจจัยต่างๆ เช่น ความยากจน การเลือกปฏิบัติ และการขาดการเข้าถึงการศึกษา การอบรม และการบริการด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัยในการทำงาน"
นอกจากนี้ยังมีความสำคัญในแง่ของการทำให้เกิดการปฏิบัติตามกฎระเบียบและมาตรฐานด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัยในการทำงานซึ่งจะนำไปสู่สภาพการทำงานที่ดีขึ้นและผลลัพธ์ด้านสุขภาพที่ดีขึ้นสำหรับแรงงานตามลำดับ
ในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ความก้าวหน้าในการดำเนินการด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัยเกิดขึ้นในหลายด้าน มีการให้สัตยาบันอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัยในการทำงานหลายฉบับ ในขณะเดียวกันมีนโยบาย กฎหมาย และโครงการด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัยระดับชาติเกิดขึ้นใหม่ทั่วทั้งภูมิภาค มีการดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ เพื่อรับรองว่าว่าจะไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เช่น มีความพยายามเข้าถึงแรงงานที่ทำงานด้านสุขาภิบาลและการนำขยะกลับมาใช้ใหม่ (recycle) ในภูมิภาคเอเชียใต้ รวมถึงวิสาหกิจขนาดเล็กที่สุดและแรงงานนอกระบบในกลุ่มประเทศอาเซียน นอกจากนี้ มีการยกระดับศักยภาพของพนักงานตรวจแรงงานที่เป็นด่านหน้าในการดำเนินงานในการรับรองว่าสถานที่ทำงานมีความปลอดภัยและดีต่อสุขภาพ
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นกิจกรรมที่สำคัญซึ่งต้องได้รับการชื่นชมและสนับสนุน อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ความปลอดภัยและอาชีวอนามัยในการทำงานเกิดขึ้นจริงในชีวิตการทำงานประจำวันสำหรับแรงงานทุกคน จึงต้องดำเนินการควบคู่ไปพร้อมกับหลักการและสิทธิขั้นพื้นฐานในการทำงานเรื่องอื่นๆ ของไอแอลโอ ซึ่งได้แก่ เสรีภาพในการสมาคมและการเจรจาต่อรองร่วมกัน การขจัดแรงงานบังคับและแรงงานเด็ก ตลอดจนการยุติการเลือกปฏิบัติในโลกของการทำงาน
สร้างการส่วนร่วม-วัฒนธรรมเชิงป้องกันในที่ทำงาน
การมีส่วนร่วมของทั้งนายจ้างและลูกจ้างผ่านการเจรจาทางสังคมและความร่วมมือในสถานที่ทำงานเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อสร้างวัฒนธรรมเชิงป้องกันด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัยที่ดีในการทำงาน
เสรีภาพในการสมาคมและการเจรจาต่อรองร่วมกันช่วยให้แรงงานจัดตั้งและเจรจาต่อรองเพื่อสภาพการทำงานที่ดีขึ้น รวมถึงความปลอดภัยและสุขภาพ หากไม่มีสิทธิแรงงานขั้นพื้นฐานต่างๆ เหล่านี้ แรงงานอาจไม่สามารถขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงให้กับตนเองได้ และอาจเสี่ยงต่อการถูกแสวงหาประโยชน์และการปฏิบัติมิชอบ
สหภาพแรงงาน มีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้ ในการเป็นกระบอกเสียงให้กับแรงงาน ตลอดจนจัดฝึกอบรมแรงงานในเรื่องความปลอดภัยและอาชีวอนามัยในการทำงานเบื้องต้น
ขณะเดียวกัน คณะกรรมการความปลอดภัยและอาชีวอนามัยในการทำงานในสถานประกอบการ เช่น คณะกรรมการฯ ที่จัดตั้งขึ้นในอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มในอินโดนีเซีย รวมถึงภาคอุตสาหกรรมเสื้อผ้าในบังคลาเทศ เปิดโอกาสให้แรงงานและนายจ้างสามารถร่วมกันจัดการแก้ไขปัญหาด้านความปลอดภัยและสุขภาพโดยเท่าเทียมกัน
การใช้แรงงานบังคับและการใช้แรงงานเด็ก ตลอดจนการเลือกปฏิบัติในเรื่องเพศ อายุ สถานะของแรงงานข้ามชาติ การจ้างงาน และการประกอบอาชีพล้วนเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับความปลอดภัยและสุขภาพในสถานที่ทำงาน เว้นแต่ปัญหาเหล่านี้จะได้รับการจัดการแก้ไขไปพร้อมกัน ผู้ชาย ผู้หญิง ผู้สูงอายุ เยาวชน และผู้ที่มีความเปราะบาง ก็ยังคงเผชิญกับสภาพการทำงานที่อันตราย ซึ่งอุบัติเหตุเป็นเรื่องที่พบได้โดยทั่วไปและการคุ้มครองทางสังคมเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก
สภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัยและที่ดีต่อสุขภาพเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานสำหรับแรงงานทุกคน รัฐบาล นายจ้าง สหภาพแรงงาน ตลอดจนบริษัทต่างๆ ในทุกระดับของห่วงโซ่อุปทานต้องทำงานร่วมกันเพื่อทำให้สิทธิแรงงานดังกล่าวเกิดขึ้นจริง
"เราทุกคนสามารถสร้างให้สิทธิแรงงานดังกล่าวเกิดขึ้นได้ผ่านความมุ่งมั่นร่วมกัน ความพยายามร่วมกัน และใช้วิธีการดำเนินการแบบองค์รวม ซึ่งเป็นแนวทางที่ตระหนักและส่งเสริมสิทธิแรงงานขั้นพื้นฐานและช่วยสร้างความยุติธรรมทางสังคมและงานที่มีคุณค่าสำหรับทุกคน"
อ่านข่าวต้นฉบับบได้จากกรุงเทพธุรกิจ
แท็กที่เกี่ยวข้อง: สุขภาพ แรงงาน ปลอดภัย สิทธิขั้นพื้นฐาน สภาพแวดล้อม อาชีวอนามัย
1 of 5
เรื่อง
26 มีนาคม 2024
'PROTECT' โครงการความร่วมมือของสหภาพยุโรปและองค์การสหประชาชาติโครงการใหม่ส่งเสริมการคุ้มครองแรงงานข้ามชาติหญิงและเด็กในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
กรุงเทพ, วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2567 – สหภาพยุโรป (EU) ประกาศให้ทุนสนับสนุน กว่า 500 ล้านบาท (13ล้านยูโร) แก่องค์การสหประชาชาติสำหรับโครงการความร่วมมือใหม่ที่มีชื่อว่า ‘PROTECT’ ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างสิทธิแรงงานข้ามชาติหญิง เด็กและกลุ่มที่มีความเสี่ยงในประเทศกัมพูชา อินโดนีเซีย มาเลเซียและไทย
โครงการ PROTECT ที่มีระยะการดำเนินงาน 3 ปี จะมุ่งส่งเสริมงานที่มีคุณค่าและลดความเปราะบางของกลุ่มที่มีความเสี่ยงด้วยการส่งเสริมสิทธิแรงงาน การป้องกันและการรับมือกับความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็ก การค้ามนุษย์ และการลักลอบนำแรงงานข้ามชาติเข้าประเทศ
ฯพณฯ เอกอัครราชทูต นายเดวิด ดาลี คณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทยกล่าวว่า “ผู้คนทั่วโลกถูกบีบบังคับให้ต้องทิ้งบ้านเพื่อเสาะหาโอกาสและชีวิตที่ดีกว่าเดิม ในการเดินทางข้ามพรมแดนและที่จุดหมายปลายทาง แรงงานข้ามชาติหญิงและเด็กมีความเสี่ยงที่สูงกว่ากลุ่มอื่นๆ สหภาพยุโรปมีความภาคภูมิใจที่จะสนับสนุนภาคีสหประชาชาติในโครงการใหม่ที่มุ่งแก้ปัญหาซึ่งเป็นปรากฎการณ์ระดับโลกนี้ในระดับภูมิภาค เราจะทำงานร่วมกับประเทศไทยและประเทศภาคีอื่นๆ ในภูมิภาค ในการให้ความคุ้มครองแก่ผู้หญิงและเด็ก เสริมสร้างการบริหารจัดการเกี่ยวกับการย้ายถิ่นแรงงาน แก้ปัญหาการค้ามนุษย์และการลักลอบนำแรงงานข้ามชาติเข้าประเทศ รวมถึงพัฒนาช่องทางทางกฎหมายสำหรับนโยบายการย้ายถิ่นของแรงงานที่ยั่งยืน”
ในกลุ่มประเทศสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) มีผู้ย้ายถิ่นประมาณ 10.6 ล้านคน โดยเกือบครึ่งหนึ่งเป็นผู้หญิง และอีก 1.3 ล้านคนเป็นเด็ก แรงงานข้ามชาติโดยเฉพาะกลุ่มอาชีพที่ได้รับค่าจ้างต่ำ เผชิญกับปัญหาต่างๆ มากมาย ที่รวมถึงการแสวงหาประโยชน์ด้านแรงงาน การค้ามนุษย์ และความรุนแรงและการคุกคาม แรงงานหญิงข้ามชาติส่วนใหญ่ทำงานในภาคเศรษฐกิจนอกระบบซึ่งมักเป็นงานชั่วคราวและได้รับการคุ้มครองทางสังคมเพียงเล็กน้อยหรือแทบไม่ได้รับการคุ้มครองทางสังคมเลย เด็กๆ ที่ติดตามแรงงานข้ามชาติมีความเสี่ยงสูงที่จะเผชิญกับการละเมิด การแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบและการค้ามนุษย์ รวมถึงการเข้าถึงการบริการเพื่อการคุ้มครองเด็กที่ไม่เพียงพอ
โครงการ ‘PROTECT’ ดำเนินการโดย 4 หน่วยงานภายใต้องค์การสหประชาชาติ ดังต่อไปนี้ องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ไอแอลโอ) องค์การเพื่อการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศและเพิ่มพลังของผู้หญิงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นวีแมน) สำนักงานยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นโอดีซี) และกองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (ยูนิเซฟ)
หน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการจะทำงานร่วมกับผู้เกี่ยวข้องใน 4 ประเทศ เพื่อเสริมสร้างกฎหมายและนโยบายให้ประสิทธิภาพ ยกระดับขีดความสามารถและกลไกเพื่อคุ้มครองสิทธิต่างๆ ของกลุ่มเป้าหมายให้ดีขึ้น และเพิ่มการเข้าถึงข้อมูลและบริการต่างๆ
กีต้า ซับบระวาล ผู้ประสานงานประจำสหประชาชาติ กล่าวถึงความร่วมมือที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นระหว่างรัฐบาลไทย สหภาพยุโรป และสหประชาชาติ ว่าเป็น “หลักสำคัญ” ด้านสิทธิของผู้ย้ายถิ่น “โครงการความมือระหว่างสหภาพยุโรปและสหประชาชาติโครงการนี้จะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาเป้าหมายที่มีร่วมกันในการปกป้องผู้ย้ายถิ่นผู้หญิงและเด็กที่เปราะบาง ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากเกือบครึ่งหนึ่งของแรงงานข้ามชาติในภูมิภาคนี้เป็นผู้หญิง และอีก 1.3 ล้านคนเป็นเด็ก การย้ายถิ่นอย่างปลอดภัยและการทำงานที่มีคุณค่าจะช่วยเพิ่มการเติบโตที่ยั่งยืนให้กับอาเซียนและยกระดับคุณภาพชีวิตของหลายล้านครัวเรือน โดยเฉพาะผู้ที่ด้อยโอกาสที่สุด และสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือการนำภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบสถานะด้านสิทธิมนุษยชน สิ่งนี้จะทำให้เกิดการสร้างพื้นที่ทำงานที่ปลอดภัยและเหมาะสมที่ให้ความสำคัญกับผู้หญิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมที่ผู้หญิงเสี่ยงต่อการถูกแสวงหาผลประโยชน์”
ชิโฮโกะ อาซาดะ มิยากาวะ ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่และผู้อำนวยการองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก กล่าวถึงความสำคัญของโครงการใหม่นี้ในภูมิภาคนี้ว่า “การย้ายถิ่นของแรงงานถือเป็นตัวขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในประเทศต้นทางและประเทศปลายทาง สร้างประโยชน์ให้กับแรงงานข้ามชาติ ชุมชน และนายจ้าง ทุกฝ่ายร่วมกัน หากเราต้องการให้การคุ้มครองและการเข้าถึงงานที่มีคุณค่าดังที่แรงงานข้ามชาติสมควรได้รับ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความยุติธรรมทางสังคม นโยบายและแนวทางการกำกับดูแลการย้ายถิ่นจำเป็นต้องตอบสนองความต้องการที่แตกต่างระหว่างหญิงและชาย มีความครอบคลุมและสอดคล้องกับมาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศ”
“การจัดการกับปัญหาที่ความรุนแรงและการคุกคามต่อแรงงานข้ามชาติหญิงที่พบได้โดยทั่วไปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นเรื่องที่จำเป็น เราจะดำเนินการส่งเสริมสิทธิต่างๆ ความปลอดภัย และศักดิ์ศรีของแรงงานข้ามชาติหญิงผ่านโครงการความร่วมมือนี้ เพื่ออนาคตที่แรงงานข้ามชาติหญิงทุกคนสามารถใช้ชีวิตและทำงานโดยปราศจากความหวาดกลัวและการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ” อาเลีย เอล – ยาสซีร์ ผู้อำนวยการสำนักงานภาคพื้นเอเชียและแปซิฟิค องค์การเพื่อการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศและเพิ่มพลังของผู้หญิงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นวีแมน) กล่าว
“เด็กข้ามชาติมีความเปราะบางอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของการย้ายถิ่นของแรงงาน” เดโบรา โคมินี ผู้อำนวยการสำนักงานภาคพื้นภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก กองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (ยูนิเซฟ) กล่าว “เด็กๆ เสี่ยงต่อการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ การละเมิด และความรุนแรง เด็กเหล่านี้ไม่สามารถเข้าถึงการศึกษา บริการสาธารณสุข และการคุ้มครองทางสังคม นโยบายและแนวปฏิบัติด้านการย้ายถิ่นจะต้องให้ความสำคัญกับมิติเด็กที่มีความละเอียดอ่อน และคุ้มครองสิทธิและประโยชน์สูงสุดของเด็กทุกคน ไม่ว่าสถานภาพด้านการย้ายถิ่นของเด็กเหล่านั้นจะเป็นอย่างไร”
“เพื่อทำลายวงจรการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบและการละเมิด การคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ และแรงงานข้ามชาติที่ถูกลักลอบพาเข้าเมืองก่อนและระหว่างกระบวนการยุติธรรมทางอาญาถือเป็นสิ่งสำคัญ” มาซุด คาริมิพัวร์ ผู้แทนสำนักงานอาชญากรรมและยาเสพติดแห่งสหประชาชาติ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิค กล่าว “ภายใต้โครงการใหม่นี้ ยูเอ็นโอดีซีจะดำเนินการต่อยอดจากงานที่เคยทำร่วมกับหน่วยงานด้านการบังคับใช้กฎหมายและหน่วยงานด้านการยุติธรรมในภูมิภาค เพื่อตรวจสอบให้สิทธิของผู้เสียหายได้รับการคุ้มครอง และผู้กระทำความผิดได้รับโทษ”
โครงการ PROTECT จะดำเนินการจนถึงเดือนธันวาคม 2569 โดยดำเนินงานต่อยอดจากผลการดำเนินโครงการและบทเรียนต่างๆ จากโครงการที่ได้รับทุนสนับสนุนจากสหภาพยุโรปในปีที่ผ่านมาสองโครงการ ได้แก่ โครงการ ‘ปลอดภัยและยุติธรรม: การทำให้สิทธิและโอกาสของแรงงานข้ามชาติหญิงเป็นจริงในภูมิภาคอาเซียน’ ที่ดำเนินโครงการโดยไอแอลโอ ยูเอ็นวีแมนและยูเอ็นโอดีซี ระหว่างปี 2561 ถึง 2566 และ ‘การคุ้มครองเด็กที่ได้รับผลกระทบจากการย้ายถิ่นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียกลาง’ ที่ดำเนินโครงการโดยยูนิเซฟ ระหว่างปี 2561 ถึง 2565
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อธนภรณ์ สาลีผล
เจ้าหน้าที่ฝ่ายการเมืองและข้อมูลข่าวสาร คณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย
อีเมล: delegation-thailand-pi[@]eeas.europa.eu
โทร: +66 2 305 2662
สตีฟ นีแดม
เจ้าหน้าที่อาวุโสด้านการสื่อสาร องค์การแรงงานระหว่างประเทศ ประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก
อีเมล์: needham[@]ilo.org
โทร: +66 836066628
ลอร่า กิล
เจ้าหน้าที่ด้านการสื่อสารยูเอ็นโอดีซี
อีเมล์: laura.gil[@]un.org
โทร: +66 61 173 0864
ดิเอโก เดอ ลา โรซา
เจ้าหน้าที่ผู้ชำนาญการงานสื่อสารระดับภูมิภาค ยูเอ็นวีแมน
อีเมล์: diego.delarosa[@]unwomen.org
โทร: +66995037177
โครงการ PROTECT ที่มีระยะการดำเนินงาน 3 ปี จะมุ่งส่งเสริมงานที่มีคุณค่าและลดความเปราะบางของกลุ่มที่มีความเสี่ยงด้วยการส่งเสริมสิทธิแรงงาน การป้องกันและการรับมือกับความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็ก การค้ามนุษย์ และการลักลอบนำแรงงานข้ามชาติเข้าประเทศ
ฯพณฯ เอกอัครราชทูต นายเดวิด ดาลี คณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทยกล่าวว่า “ผู้คนทั่วโลกถูกบีบบังคับให้ต้องทิ้งบ้านเพื่อเสาะหาโอกาสและชีวิตที่ดีกว่าเดิม ในการเดินทางข้ามพรมแดนและที่จุดหมายปลายทาง แรงงานข้ามชาติหญิงและเด็กมีความเสี่ยงที่สูงกว่ากลุ่มอื่นๆ สหภาพยุโรปมีความภาคภูมิใจที่จะสนับสนุนภาคีสหประชาชาติในโครงการใหม่ที่มุ่งแก้ปัญหาซึ่งเป็นปรากฎการณ์ระดับโลกนี้ในระดับภูมิภาค เราจะทำงานร่วมกับประเทศไทยและประเทศภาคีอื่นๆ ในภูมิภาค ในการให้ความคุ้มครองแก่ผู้หญิงและเด็ก เสริมสร้างการบริหารจัดการเกี่ยวกับการย้ายถิ่นแรงงาน แก้ปัญหาการค้ามนุษย์และการลักลอบนำแรงงานข้ามชาติเข้าประเทศ รวมถึงพัฒนาช่องทางทางกฎหมายสำหรับนโยบายการย้ายถิ่นของแรงงานที่ยั่งยืน”
ในกลุ่มประเทศสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) มีผู้ย้ายถิ่นประมาณ 10.6 ล้านคน โดยเกือบครึ่งหนึ่งเป็นผู้หญิง และอีก 1.3 ล้านคนเป็นเด็ก แรงงานข้ามชาติโดยเฉพาะกลุ่มอาชีพที่ได้รับค่าจ้างต่ำ เผชิญกับปัญหาต่างๆ มากมาย ที่รวมถึงการแสวงหาประโยชน์ด้านแรงงาน การค้ามนุษย์ และความรุนแรงและการคุกคาม แรงงานหญิงข้ามชาติส่วนใหญ่ทำงานในภาคเศรษฐกิจนอกระบบซึ่งมักเป็นงานชั่วคราวและได้รับการคุ้มครองทางสังคมเพียงเล็กน้อยหรือแทบไม่ได้รับการคุ้มครองทางสังคมเลย เด็กๆ ที่ติดตามแรงงานข้ามชาติมีความเสี่ยงสูงที่จะเผชิญกับการละเมิด การแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบและการค้ามนุษย์ รวมถึงการเข้าถึงการบริการเพื่อการคุ้มครองเด็กที่ไม่เพียงพอ
โครงการ ‘PROTECT’ ดำเนินการโดย 4 หน่วยงานภายใต้องค์การสหประชาชาติ ดังต่อไปนี้ องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ไอแอลโอ) องค์การเพื่อการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศและเพิ่มพลังของผู้หญิงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นวีแมน) สำนักงานยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นโอดีซี) และกองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (ยูนิเซฟ)
หน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการจะทำงานร่วมกับผู้เกี่ยวข้องใน 4 ประเทศ เพื่อเสริมสร้างกฎหมายและนโยบายให้ประสิทธิภาพ ยกระดับขีดความสามารถและกลไกเพื่อคุ้มครองสิทธิต่างๆ ของกลุ่มเป้าหมายให้ดีขึ้น และเพิ่มการเข้าถึงข้อมูลและบริการต่างๆ
กีต้า ซับบระวาล ผู้ประสานงานประจำสหประชาชาติ กล่าวถึงความร่วมมือที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นระหว่างรัฐบาลไทย สหภาพยุโรป และสหประชาชาติ ว่าเป็น “หลักสำคัญ” ด้านสิทธิของผู้ย้ายถิ่น “โครงการความมือระหว่างสหภาพยุโรปและสหประชาชาติโครงการนี้จะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาเป้าหมายที่มีร่วมกันในการปกป้องผู้ย้ายถิ่นผู้หญิงและเด็กที่เปราะบาง ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากเกือบครึ่งหนึ่งของแรงงานข้ามชาติในภูมิภาคนี้เป็นผู้หญิง และอีก 1.3 ล้านคนเป็นเด็ก การย้ายถิ่นอย่างปลอดภัยและการทำงานที่มีคุณค่าจะช่วยเพิ่มการเติบโตที่ยั่งยืนให้กับอาเซียนและยกระดับคุณภาพชีวิตของหลายล้านครัวเรือน โดยเฉพาะผู้ที่ด้อยโอกาสที่สุด และสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือการนำภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบสถานะด้านสิทธิมนุษยชน สิ่งนี้จะทำให้เกิดการสร้างพื้นที่ทำงานที่ปลอดภัยและเหมาะสมที่ให้ความสำคัญกับผู้หญิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมที่ผู้หญิงเสี่ยงต่อการถูกแสวงหาผลประโยชน์”
ชิโฮโกะ อาซาดะ มิยากาวะ ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่และผู้อำนวยการองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก กล่าวถึงความสำคัญของโครงการใหม่นี้ในภูมิภาคนี้ว่า “การย้ายถิ่นของแรงงานถือเป็นตัวขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในประเทศต้นทางและประเทศปลายทาง สร้างประโยชน์ให้กับแรงงานข้ามชาติ ชุมชน และนายจ้าง ทุกฝ่ายร่วมกัน หากเราต้องการให้การคุ้มครองและการเข้าถึงงานที่มีคุณค่าดังที่แรงงานข้ามชาติสมควรได้รับ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความยุติธรรมทางสังคม นโยบายและแนวทางการกำกับดูแลการย้ายถิ่นจำเป็นต้องตอบสนองความต้องการที่แตกต่างระหว่างหญิงและชาย มีความครอบคลุมและสอดคล้องกับมาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศ”
“การจัดการกับปัญหาที่ความรุนแรงและการคุกคามต่อแรงงานข้ามชาติหญิงที่พบได้โดยทั่วไปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นเรื่องที่จำเป็น เราจะดำเนินการส่งเสริมสิทธิต่างๆ ความปลอดภัย และศักดิ์ศรีของแรงงานข้ามชาติหญิงผ่านโครงการความร่วมมือนี้ เพื่ออนาคตที่แรงงานข้ามชาติหญิงทุกคนสามารถใช้ชีวิตและทำงานโดยปราศจากความหวาดกลัวและการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ” อาเลีย เอล – ยาสซีร์ ผู้อำนวยการสำนักงานภาคพื้นเอเชียและแปซิฟิค องค์การเพื่อการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศและเพิ่มพลังของผู้หญิงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นวีแมน) กล่าว
“เด็กข้ามชาติมีความเปราะบางอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของการย้ายถิ่นของแรงงาน” เดโบรา โคมินี ผู้อำนวยการสำนักงานภาคพื้นภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก กองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (ยูนิเซฟ) กล่าว “เด็กๆ เสี่ยงต่อการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ การละเมิด และความรุนแรง เด็กเหล่านี้ไม่สามารถเข้าถึงการศึกษา บริการสาธารณสุข และการคุ้มครองทางสังคม นโยบายและแนวปฏิบัติด้านการย้ายถิ่นจะต้องให้ความสำคัญกับมิติเด็กที่มีความละเอียดอ่อน และคุ้มครองสิทธิและประโยชน์สูงสุดของเด็กทุกคน ไม่ว่าสถานภาพด้านการย้ายถิ่นของเด็กเหล่านั้นจะเป็นอย่างไร”
“เพื่อทำลายวงจรการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบและการละเมิด การคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ และแรงงานข้ามชาติที่ถูกลักลอบพาเข้าเมืองก่อนและระหว่างกระบวนการยุติธรรมทางอาญาถือเป็นสิ่งสำคัญ” มาซุด คาริมิพัวร์ ผู้แทนสำนักงานอาชญากรรมและยาเสพติดแห่งสหประชาชาติ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิค กล่าว “ภายใต้โครงการใหม่นี้ ยูเอ็นโอดีซีจะดำเนินการต่อยอดจากงานที่เคยทำร่วมกับหน่วยงานด้านการบังคับใช้กฎหมายและหน่วยงานด้านการยุติธรรมในภูมิภาค เพื่อตรวจสอบให้สิทธิของผู้เสียหายได้รับการคุ้มครอง และผู้กระทำความผิดได้รับโทษ”
โครงการ PROTECT จะดำเนินการจนถึงเดือนธันวาคม 2569 โดยดำเนินงานต่อยอดจากผลการดำเนินโครงการและบทเรียนต่างๆ จากโครงการที่ได้รับทุนสนับสนุนจากสหภาพยุโรปในปีที่ผ่านมาสองโครงการ ได้แก่ โครงการ ‘ปลอดภัยและยุติธรรม: การทำให้สิทธิและโอกาสของแรงงานข้ามชาติหญิงเป็นจริงในภูมิภาคอาเซียน’ ที่ดำเนินโครงการโดยไอแอลโอ ยูเอ็นวีแมนและยูเอ็นโอดีซี ระหว่างปี 2561 ถึง 2566 และ ‘การคุ้มครองเด็กที่ได้รับผลกระทบจากการย้ายถิ่นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียกลาง’ ที่ดำเนินโครงการโดยยูนิเซฟ ระหว่างปี 2561 ถึง 2565
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อธนภรณ์ สาลีผล
เจ้าหน้าที่ฝ่ายการเมืองและข้อมูลข่าวสาร คณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย
อีเมล: delegation-thailand-pi[@]eeas.europa.eu
โทร: +66 2 305 2662
สตีฟ นีแดม
เจ้าหน้าที่อาวุโสด้านการสื่อสาร องค์การแรงงานระหว่างประเทศ ประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก
อีเมล์: needham[@]ilo.org
โทร: +66 836066628
ลอร่า กิล
เจ้าหน้าที่ด้านการสื่อสารยูเอ็นโอดีซี
อีเมล์: laura.gil[@]un.org
โทร: +66 61 173 0864
ดิเอโก เดอ ลา โรซา
เจ้าหน้าที่ผู้ชำนาญการงานสื่อสารระดับภูมิภาค ยูเอ็นวีแมน
อีเมล์: diego.delarosa[@]unwomen.org
โทร: +66995037177
1 of 5
เรื่อง
08 เมษายน 2024
ปัจจุบันประชากร 1 ใน 8 คนเป็นโรคอ้วน
เจนีวา (1 มีนาคม 2567) – การศึกษาใหม่ที่เผยแพร่ในวารสาร Lancet แสดงให้เห็นว่าในปี 2565 ผู้คนมากกว่า 1 พันล้านคนทั่วโลกต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคอ้วน สถิติจากทั่วโลกพบว่าโรคอ้วนในผู้ใหญ่เพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าตั้งแต่ปี 2533 และเพิ่มขึ้นสี่เท่าในเด็กและวัยรุ่น (อายุ 5 ถึง 19 ปี) ข้อมูลยังแสดงให้เห็นว่า ร้อยละ 43 ของประชากรวัยผู้ใหญ่นั้นมีภาวะน้ำหนักเกินในปี 2565การศึกษายังแสดงให้เห็นว่าแม้ว่าอัตราการขาดสารอาหารจะลดลง แต่ประเด็นนี้ก็ยังเป็นปัญหาด้านสาธารณสุขในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในแถบเอเชียใต้และตะวันออก และแอฟริกาทางตอนใต้ของทะเลทรายซาฮาราประเทศที่มีอัตราการมีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์และโรคอ้วนรวมกันสูงสุดในปี 2565 ได้แก่ ประเทศหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกและแคริบเบียน รวมถึงประเทศในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือภาวะทุพโภชนาการในทุกรูปแบบ รวมถึงภาวะโภชนาการไม่เพียงพอ (ผอม แคระแกร็น น้ำหนักน้อยเกินไป) วิตามินหรือแร่ธาตุไม่เพียงพอ ภาวะน้ำหนักเกิน และโรคอ้วน การศึกษาพบว่าภาวะโภชนาการไม่เพียงพอเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตกว่าครึ่งของเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และโรคอ้วนก่อให้เกิดโรคไม่ติดต่อต่างๆ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ เบาหวาน และมะเร็งบางชนิดองค์การอนามัยโลกมีส่วนร่วมในการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลของการศึกษาครั้งนี้ ขณะนี้ชุดข้อมูลทั้งหมดได้รับการเผยแพร่ผ่าน Global Health Observatory แล้ว“การศึกษาครั้งใหม่นี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการป้องกันและการจัดการโรคอ้วนตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยผู้ใหญ่ ผ่านการรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย และการดูแลอย่างเหมาะสมตามความจำเป็น” ดร. เทดรอส อัดฮานอม เกเบรเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่ขององค์การอนามัยโลกกล่าว “การกลับมาสู่เส้นทางเพื่อบรรลุเป้าหมายระดับโลกในการควบคุมโรคอ้วนนั้นเป็นหน้าที่ของรัฐบาลและชุมชน โดยการสนับสนุนจากนโยบายที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์จากองค์การอนามัยโลก และหน่วยงานด้านสาธารณสุขระดับประเทศ และที่สำคัญไม่แพ้กันคือความร่วมมือจากภาคเอกชนซึ่งต้องร่วมรับผิดชอบต่อผลกระทบต่อสุขภาพจากของผลิตภัณฑ์ของตน”โรคอ้วนเป็นโรคเรื้อรังที่ซับซ้อน สาเหตุของโรค และมาตรการต่างๆ ที่จำเป็นที่จะต้องดำเนินการเพื่อควบคุมภาวะวิกฤตนั้นเป็นที่ทราบกันดี แต่การดำเนินการเหล่านั้นยังมีอยู่อย่างจำกัด ในการประชุมสมัชชาอนามัยโลกในปี 2565 ประเทศสมาชิกได้ลงมติยอมรับแผนเร่งรัดขององค์การอนามัยโลกเพื่อหยุดโรคอ้วน (WHO Acceleration Plan to stop obesity) ซึ่งสนับสนุนการดำเนินการระดับประเทศจนถึงปี 2573 ในปัจจุบันรัฐบาลของ 31 ประเทศกำลังเป็นผู้นำในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคอ้วนด้วยการดำเนินการตามแผนดังกล่าวโดยมีมาตรการหลักคือ:
• การดำเนินการเพื่อสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพตั้งแต่วันแรกของชีวิต รวมถึงการส่งเสริม การคุ้มครอง และการสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
• การควบคุมการทำการตลาดของอาหารและเครื่องดื่มที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพเด็ก
• นโยบายด้านอาหารและโภชนาการในโรงเรียน รวมถึงมาตรการในการควบคุมการขายผลิตภัณฑ์ที่มีไขมัน น้ำตาล และโซเดียมสูงในบริเวณใกล้เคียงโรงเรียน
• นโยบายการเงินการคลังและการสนับสนุนทางราคาเพื่อส่งเสริมอาหารเพื่อสุขภาพ
• นโยบายการติดฉลากโภชนาการ
• การให้ความรู้สาธารณะและการรณรงค์สร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพและการมีกิจกรรมทางกำลังกายที่เพียงพ
• มาตรฐานการมีกิจกรรมทางกายในโรงเรียน และ
• บูรณาการบริการป้องกันและจัดการโรคอ้วนเข้ากับการดูแลสุขภาพระดับปฐมภูมิ“การดำเนินนโยบายที่สนับสนุนให้ทุกคนเข้าถึงอาหารที่ดีต่อสุขภาพในราคาที่จับต้องได้ และการสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมกิจกรรมกำลังกายและวิถีชีวิตที่มีสุขภาพดีสำหรับทุกคนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย” ดร. ฟรานเชสโก บรังกา ผู้อำนวยการแผนกโภชนาการและความปลอดภัยด้านอาหารขององค์การอนามัยโลก และหนึ่งในผู้ร่วมเขียนการศึกษาฉบับนี้กล่าว “ประเทศต่างๆ ควรบูรณาการการป้องกันและการจัดการโรคอ้วนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของระบบบริการสุขภาพขั้นพื้นฐาน”การจัดการกับภาวะโภชนาการไม่เพียงพอจำเป็นต้องอาศัยการดำเนินการจากหลายภาคส่วนทั้งในด้านการเกษตร การคุ้มครองทางสังคม และสุขภาพ เพื่อเพิ่มความมั่นคงทางอาหาร พัฒนาการเข้าถึงน้ำสะอาดและสุขอนามัย เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงโภชนาการที่จำเป็นอย่างทั่วถึงอ่านต้นฉบับ
• การดำเนินการเพื่อสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพตั้งแต่วันแรกของชีวิต รวมถึงการส่งเสริม การคุ้มครอง และการสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
• การควบคุมการทำการตลาดของอาหารและเครื่องดื่มที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพเด็ก
• นโยบายด้านอาหารและโภชนาการในโรงเรียน รวมถึงมาตรการในการควบคุมการขายผลิตภัณฑ์ที่มีไขมัน น้ำตาล และโซเดียมสูงในบริเวณใกล้เคียงโรงเรียน
• นโยบายการเงินการคลังและการสนับสนุนทางราคาเพื่อส่งเสริมอาหารเพื่อสุขภาพ
• นโยบายการติดฉลากโภชนาการ
• การให้ความรู้สาธารณะและการรณรงค์สร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพและการมีกิจกรรมทางกำลังกายที่เพียงพ
• มาตรฐานการมีกิจกรรมทางกายในโรงเรียน และ
• บูรณาการบริการป้องกันและจัดการโรคอ้วนเข้ากับการดูแลสุขภาพระดับปฐมภูมิ“การดำเนินนโยบายที่สนับสนุนให้ทุกคนเข้าถึงอาหารที่ดีต่อสุขภาพในราคาที่จับต้องได้ และการสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมกิจกรรมกำลังกายและวิถีชีวิตที่มีสุขภาพดีสำหรับทุกคนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย” ดร. ฟรานเชสโก บรังกา ผู้อำนวยการแผนกโภชนาการและความปลอดภัยด้านอาหารขององค์การอนามัยโลก และหนึ่งในผู้ร่วมเขียนการศึกษาฉบับนี้กล่าว “ประเทศต่างๆ ควรบูรณาการการป้องกันและการจัดการโรคอ้วนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของระบบบริการสุขภาพขั้นพื้นฐาน”การจัดการกับภาวะโภชนาการไม่เพียงพอจำเป็นต้องอาศัยการดำเนินการจากหลายภาคส่วนทั้งในด้านการเกษตร การคุ้มครองทางสังคม และสุขภาพ เพื่อเพิ่มความมั่นคงทางอาหาร พัฒนาการเข้าถึงน้ำสะอาดและสุขอนามัย เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงโภชนาการที่จำเป็นอย่างทั่วถึงอ่านต้นฉบับ
1 of 5
เรื่อง
22 มกราคม 2024
รู้จัก ‘คาร์บอนเครดิต’ แต้มสะสมเพื่อกู้วิกฤตโลกเดือด
“Take a deep breath” (หายใจเข้าลึก ๆ หายใจออกช้า ๆ) เทคนิคที่ช่วยให้ผ่อนคลายด้วยสิ่งที่เราทำวนเวียนอยู่ตลอดเวลาอย่างการหายใจ คือกระบวนการเผาผลาญของร่างกายเพื่อความอยู่รอด เราหายใจเข้าเพื่อรับออกซิเจนเข้าไป และจบลงทุกครั้งที่การขับคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา
ใต้น้ำ ผืนดิน ในอากาศ หรือแม้แต่ร่างกายเราเอง คาร์บอนไดออกไซด์มีอยู่ทุกที่ และสำคัญต่อทุกชีวิตชนิดที่ว่า “ขาดเธอไปโลกคงพัง” แต่อะไรที่มากเกินไปย่อมไม่ดี คาร์บอนปริมาณมหาศาลจากการเผาป่า การเผาผลาญเชื้อเพลิงในบ้าน ยานพาหนะ หรือโรงงาน ทั้งน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติและถ่านหิน ล้วนเป็นตัวการก่อมลพิษทางอากาศมาหลายยุคสมัย ส่งผลให้สภาพภูมิอากาศโลกผันผวนรุนแรง หนาวจัด ร้อนแล้งสุดขั้วจนเข้าขั้น “ภาวะโลกเดือด”
ข่าวดีคือท่ามกลางวิกฤตตรงหน้า ทั่วโลกก็ได้เห็นพ้องกันในมาตรการ “เปลี่ยนโลก” ปลุกกระแสหยุดโลกร้อน ยุติการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล พร้อมตั้งเป้าหมายก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) อีกทั้งจุดประกายความหวังขึ้นมาอีกครั้งด้วยแนวคิดที่ว่า “ถ้าโลกมีคาร์บอนมากเกินไป เราก็ต้องเปลี่ยนคาร์บอนส่วนเกินมาใช้ประโยชน์ให้ได้”
คาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) ตัวช่วยกู้อากาศสะอาด
ได้ยินชื่อแล้วอย่าเพิ่งเข้าใจผิด เพราะคาร์บอนเครดิตไม่ใช่สกุลเงินดิจิทัลหรือคริปโตเคอร์เรนซี แต่เป็นหน่วยของปริมาณก๊าซคาร์บอนที่เราสามารถสะสมเป็น “แต้ม” แล้วนำมาแลกเปลี่ยนได้ ในโลกที่เต็มไปด้วยอากาศเป็นพิษและภูมิอากาศที่แปรปรวน คาร์บอนเครดิตถือเป็นหน่วยกู้ภัยที่ ไม่ว่าจะเป็นบริษัท โรงงาน หรือแม้แต่อีเวนต์ที่เราคุ้นเคยกันสุด ๆ อย่างคอนเสิร์ตก็ต่างต้องการแต้มนี้เพื่อนำมาชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตัวเอง
ยิ่งมีผู้สะสมแต้มคาร์บอนเครดิตไว้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงไปได้มากเท่านั้น ลองนึกภาพตามว่าทุกองค์กรเริ่มต้นจากศูนย์เท่ากัน องค์กรหรือชุมชนที่เป็นนักสะสมแต้มตัวยงจะสามารถเอาแต้มที่สะสมไว้จากการลดการปล่อยคาร์บอนภายในองค์กรไปขายให้กับองค์กรอื่นที่ผลิตคาร์บอนเกินจนแต้มติดลบ โดยแต้มที่ว่าสามารถนำไปใช้ซื้อขายในตลาดคาร์บอนเครดิต และจะถูกแปลงมูลค่าเป็นเงินต่อไป โดยมีหน่วยการซื้อขายเป็นตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2eq) การเอาแต้มมาแลกเปลี่ยนชดเชยการปล่อยก๊าซแบบนี้ เรียกได้ว่าทั้งช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและยังใช้ประโยชน์จากคาร์บอนไดออกไซด์ไปในตัว
เราเองก็เป็นนักสะสมแต้มได้
ไม่ใช่แค่บริษัทใหญ่ ๆ แต่ใคร ๆ ก็เป็นนักสะสมแต้มได้! ‘โครงการถังขยะเปียก ลดโลกร้อน’ จากกระทรวงมหาดไทยกำลังช่วยให้ประชาชนกว่า 14 ล้านคนได้กลายเป็นนักสะสมแต้มคาร์บอนเครดิต ด้วยวิธีง่าย ๆ ที่ทำได้ตั้งแต่ในรั้วบ้าน อย่างการแยกขยะเปียกและขยะแห้งออกจากกัน รวมถึงส่งเสริมการทำถังขยะเปียกในบ้านเพื่อให้การย่อยสลายขยะอาหารเป็นไปอย่างถูกวิธี ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยที่ก๊าซเรือนกระจกที่ลดลงมานั้นก็สามารถนำไปขายในตลาดคาร์บอนเครดิตได้เช่นกัน
ณวิช อุ่นวิจิตร หัวหน้ากลุ่มงานการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย ได้ให้สัมภาษณ์ว่าในปีที่ผ่านมา ผลจากโครงการนี้คิดเป็นคาร์บอนเครดิตถึง 88,443 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ และมีภาคเอกชนรับซื้อไปแล้วด้วย แถมเงินที่ได้จากการขายนั้นองค์กรส่วนท้องถิ่นก็ได้นำไปพัฒนาสิ่งแวดล้อมในชุมชนต่อไป ดีต่อโลก ดีต่อใจ มีแต่ได้กับได้! ทั้งนี้กระทรวงมหาดไทยยังมีแผนการรับรองในทั้ง 76 จังหวัดและคาดว่าจะได้คาร์บอนเครดิตกว่า 250,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์
ในไทย บริษัททั้งหลายทำการสะสมแต้มคาร์บอนโดยต้องผ่านการรับรองจากองค์การบริหารก๊าซเรือนกระจก และทำภายใต้โครงการ T-VER (Thailand Voluntary Emission Reduction Program) แต่พวกเราในฐานะคนตัวเล็ก ๆ ก็สามารถเข้าร่วมการสะสมแต้มคาร์บอนเครดิตได้เหมือนกัน แถมยังทำได้เลยผ่านกิจกรรมง่าย ๆ เช่น การคัดแยกขยะ การปลูกต้นไม้ การเลือกผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และยังมีอีกหลากหลายวิธีช่วยรักษ์โลกที่เราควรทำตั้งแต่ตอนนี้
กระแสคาร์บอนเครดิตช่วยปลุกพลังด้านความยั่งยืนในมิติต่าง ๆ รวมถึงโมเดลธุรกิจสมดุลยั่งยืน เห็นได้จากการที่หลายธุรกิจเริ่มหันมาเรียนรู้วิธีการเก็บสะสมแต้มคาร์บอน เช่น การใช้พลังงานแสงอาทิตย์ การขนส่งสินค้าด้วยรถยนต์ไฟฟ้าแทนรถยนต์น้ำมัน การหมุนเวียนทรัพยากรใช้อย่างคุ้มค่า รวมถึงวิธีอื่น ๆ ที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมยิ่งขึ้น เป้าหมายสูงสุดคือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เหลือศูนย์ (Net Zero Emission) ซึ่งเป็นภารกิจสุดหินที่ต้องใช้ทั้งเทคโนโลยี เงินลงทุนและเวลา ถึงอย่างนั้นมันก็คุ้มค่าที่จะร่วมมือกันทำให้สำเร็จ
สะสมแต้มเพื่อโลกที่เป็นของเราทุกคน
แน่นอนว่าปัญหามลพิษในอากาศและโลกเดือดไม่ใช่เรื่องใหม่ และมันมีผลต่อชีวิตของเราในทุกด้านเหมือนกับโดมิโน่ที่ล้มเรียงต่อกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มเปราะบางที่จะได้รับผลกระทบก่อน มันจึงไม่ใช่ปัญหาของใครคนใดคนหนึ่ง หากแต่เป็นสิ่งที่ต้องร่วมกันรับผิดชอบ
สุดท้ายการเกิดระบบคาร์บอนเครดิตก็เป็นไปเพื่อเราทุกคน เมื่อวิกฤตโลกยังคงทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ใช่แค่ภาคธุรกิจที่ต้องรับผิดชอบ หรือปล่อยให้ใครคนใดคนหนึ่งเป็น “เดอะแบก” แต่เราในฐานะประชากรโลกก็สามารถลุกขึ้นมาร่วมรณรงค์เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้น หรือจะลองสะสมแต้มคาร์บอนก็ยังเป็นไปได้ ทั้งหมดนี้จะช่วยยับยั้งวิกฤตและรักษาโลกที่น่าอยู่สำหรับทุกคนเอาไว้
เรื่อง พิมชนก โรจนันท์ และมิ่งขวัญ รัตนคช
ข้อมูล ณวิช อุ่นวิจิตร หัวหน้ากลุ่มงานการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย
เรื่อง พิมชนก โรจนันท์ และมิ่งขวัญ รัตนคช
ข้อมูล ณวิช อุ่นวิจิตร หัวหน้ากลุ่มงานการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย
1 of 5
เรื่อง
18 มกราคม 2024
ผู้ช่วยเลขาธิการยูเอ็นที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์
เฟลิเป้ ปอลลิเยร์ กุมารแพทย์อุรุกวัย อดีต ผอ. สถาบันเยาวชนแห่งชาติอุรุกวัย อดีตรองนายกเทศมนตรี ที่ปรึกษาในศาลท้องถิ่น ผู้ช่วยนักวิจัยให้กับหลายองค์กร และตำแหน่งล่าสุดที่เพิ่งได้รับแต่งตั้งเมื่อ 27 ตุลาคม 2023 คือนักการทูตยูเอ็นที่อายุน้อยที่สุดที่โลกเคยรู้จัก
การแต่งตั้งเฟลิเป้เกิดขึ้นหลังจากที่ที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติครั้งที่ 78 (UNGA78) ที่นิวยอร์ก โหวดให้ยูเอ็นจัดตั้งสำนักงานเยาวชนแห่งใหม่ (UN Youth Office) ตามรายงาน “Our Common Agenda” ของเลขาธิการยูเอ็น เพื่อทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงให้เยาวชนทั่วโลก เป็นศูนย์กลางประสานงานขับเคลื่อนแผนพัฒนาเยาวชนระหว่างประเทศตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน และส่งเสริมความร่วมมือสำหรับความท้าทายต่าง ๆ ของโลก
ติดตามภารกิจของผู้ช่วยเลขาธิการฯ คนใหม่ รวมถึงกิจกรรมที่น่าสนใจของสำนักงานเยาวชนยูเอ็น และชมรมการประชุมยูเอ็นจำลองฯ (Model United Nations – MUN club) ซึ่งจะมีเยาวชนไทยเข้าร่วมกว่า 1,800 คน เร็ว ๆ นี้ ทางเพจ @uninthailand
1 of 5
เรื่อง
30 พฤศจิกายน 2023
พระราชวังที่ถูกลืม
จากมุมมองในพุทธศตวรรษที่ 26 สมัยกรุงธนบุรี (พ.ศ. 2310-2325) ซึ่งเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของประวัติศาสตร์ไทย ดูเหมือนจะถูกบดบังด้วยทั้งความงดงามของเมืองอยุธยาโบราณที่สูญสิ้นไป และความอลังการแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งยังคงเป็นที่ประจักษ์อยู่ทุกวันนี้ด้วยความยิ่งใหญ่ของพระบรมมหาราชวังที่ตระการตาผู้เยี่ยมชมหลายล้านคนทุกปี อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลา 15 ปีระหว่างการล่มสลายของกรุงศรีอยุธยาและการสถาปนาราชวงศ์จักรีมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อการปูทางสู่ความเป็นประเทศไทยในปัจจุบัน
ห่างจากพระบรมมหาราชวัง (ซึ่งยังคงดึงดูดนักท่องเที่ยวอย่างคึกคักไม่ขาดสาย) และปิดล้อมอยู่ภายในพื้นที่กองบัญชาการกองทัพเรือที่ตั้งอยู่อีกฝั่งของแม่น้ำเจ้าพระยา แหล่งมรดกแห่งพระราชวังเดิมได้รับการทะนุบำรุงอย่างพิถีพิถัน ด้วยความพยายามอันน่ายกย่องในการทำให้บทสำคัญของประวัติศาสตร์ไทยบทนี้มีความหมายและก้องกังวาลในบริบทปัจจุบัน
เมื่อมองจากแม่น้ำเจ้าพระยา โครงสร้างที่โดดเด่นที่สุดของพระราชวังเดิมคือป้อมวิไชยประสิทธิ์ ซึ่งทำหน้าที่ปกป้องเส้นทางคมนาคมทางน้ำไปยังราชธานีกรุงศรีอยุธยาตั้งแต่ต้นพุทธศตวรรษที่ 23
ในปี พ.ศ. 2310 เนื่องด้วยกรุงศรีอยุธยาทรุดโทรมจากสงครามจนเกินกว่าจะฟื้นฟูได้ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช (พ.ศ. 2277-2325) จึงทรงสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานีแห่งใหม่ของอาณาจักรที่ครอบคลุมระยะเวลาสั้นที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย พระองค์โปรดเกล้าฯให้สร้างพระราชวังหลวงขึ้นในปี พ.ศ. 2311 โดยอาศัยที่ตั้งเชิงยุทธศาสตร์ของป้อมวิไชยประสิทธิ์
หลังจากมีการก่อรัฐประหาร สมเด็จพระเจ้าตากสินถูกประหาร ณ ป้อมวิไชยประสิทธิ์ในปี พ.ศ. 2325 ตั้งแต่นั้นมาพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูงในราชวงศ์จักรีหลายพระองค์ประทับที่พระราชวังเดิมจนกระทั่งปี พ.ศ. 2443 เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 พระราชทานพระราชวังเดิมให้กับกองทัพเรือเพื่อให้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนนายเรือ ครึ่งศตวรรษต่อมา กองทัพเรือดัดแปลงสถานที่ดังกล่าวให้เป็นกองบัญชาการ ปัจจุบันด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 300 ปี ป้อมวิไชยประสิทธิ์เป็นสถานที่จัดยิงสลุต โดยมีฉากหลังอันสง่างามของธงกองทัพเรือและธงผู้บัญชาการทหารเรือบนเสาธงที่มีลักษณะเหมือนเสากระโดงเรือ
สิ่งที่ยังสถิตอยู่ในใจกลางพระราชวังเดิมคือ สถาปัตยกรรมสมัยอยุธยาตอนปลายของท้องพระโรง ซึ่งเป็นสิ่งปลูกสร้างแห่งเดียวจากรัชสมัยพระเจ้าตากสินที่ยังคงหลงเหลืออยู่ ประกอบด้วยอาคาร 2 หลังที่ต่อกันเป็นรูปตัว ‘T’ เนื่องจากท้องพระโรงไม่เคยถูกทิ้งร้างตลอดความเป็นมาอันยาวนาน จึงสังเกตได้ว่าลักษณะบางประการของพระที่นั่งองค์ทิศเหนือ เช่น พื้นหินอ่อนและเสาคอนกรีต บ่งบอกถึงการปรับปรุงโครงสร้างในอดีตที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับความแท้ทางวัสดุเสมอไป อย่างไรก็ตาม เชื่อได้ว่าผังของท้องพระโรงโดยรวมและหลังคาทรงไทยที่มีหน้าจั่ว 3 ด้าน สะท้อนถึงแนวออกแบบดั้งเดิมจากสมัยกรุงธนบุรี ที่น่าสังเกตคือ การออกแบบให้พระที่นั่งองค์ทิศเหนือเปิดโล่งเป็นลักษณะที่แตกต่างอย่างน่าสนใจจากโครงสร้างแบบปิดของท้องพระโรงอื่น ๆ ในประเทศไทย
ด้านหนึ่งของพระที่นั่งองค์ทิศเหนือมี ‘มุขเด็จ’ หรือ ‘มุขเสด็จ’ ที่ซึ่งสมเด็จพระเจ้าตากสินประทับเวลาออกว่าราชการ อีกด้านหนึ่ง สิ่งที่ดึงดูดความสนใจคือระฆัง ซึ่งน่าจะมีต้นกำเนิดมาจากจีน โดยเจ้าอาวาสวัดหงส์รัตนาราม (ตั้งตามชื่อนายหง เศรษฐีชาวจีนผู้สร้างวัดนี้ในสมัยกรุงศรีอยุธยา) มอบให้กับกองทัพเรือในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 แม้เหตุผลสำหรับการมอบของขวัญชิ้นนี้ได้เลือนหายไปตามกาลเวลา แต่มีตำนานเล่าขานว่าสมเด็จพระเจ้าตากสิน (ซึ่งพระบิดาของพระองค์เป็นชาวจีนแต้จิ๋ว) เสด็จมาสรงน้ำในบ่อน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ของวัดเพื่อเป็นพิธีกรรมก่อนเสด็จออกราชการสงคราม ปัจจุบันพิธีรับ-ส่งหน้าที่ผู้บัญชาการทหารเรือและพิธีประดับเครื่องหมายยศจะจัดขึ้นที่พระที่นั่งองค์ทิศเหนือของท้องพระโรง
ส่วนพระที่นั่งองค์ทิศใต้ (หรือที่เรียกว่า ‘พระที่นั่งขวาง’) น่าจะเป็นที่ที่สมเด็จพระเจ้าตากสินใช้ว่าราชการส่วนพระองค์ ปัจจุบันกองทัพเรือใช้พื้นที่ดังกล่าวเป็นครั้งคราวในการต้อนรับแขกพิเศษและจัดการประชุมท่ามกลางเรือพระราชพิธีจำลองอันวิจิตรงดงาม โดยเรือแต่ละลำมีการออกแบบและมีชื่อที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะลำ
ทางด้านทิศตะวันออกของท้องพระโรงมีตำหนักเก๋งจีน 2 หลัง ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เดิมทีตำหนักทั้ง 2 หลังเป็นที่ประทับของ ‘เจ้านายชั้นสูง’ ต่อมาใช้เป็นสถานที่จัดเก็บอุปกรณ์ฝึกซ้อมและตำราเรียนของโรงเรียนนายเรือ ปัจจุบันตำหนักทั้ง 2 หลังนี้ใช้สำหรับเล่าเรื่องราวของสมเด็จพระเจ้าตากสินผ่านจิตรกรรมที่สั่งทำขึ้นมาเป็นพิเศษและการจัดแสดงโบราณวัตถุต่าง ๆ รวมถึงอาวุธในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสิน ซึ่งเพิ่มสีสันให้กับธีมการรบของนิทรรศการภายในตำหนักเก๋งคู่หลังเล็ก
โบราณวัตถุที่น่าทึ่งอีกชิ้นหนึ่งคือ สำเนาแผนที่สมัยกรุงธนบุรีที่วาดขึ้นโดยสายลับพม่า ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพระราชปณิธานของสมเด็จพระเจ้าตากสินในการสร้างคูน้ำและกำแพงเมืองเพื่อปกป้องราชธานีแห่งใหม่ของพระองค์
ในฐานะผู้นำยามสงครามผู้ทรงรื้อฟื้นประเพณีกษัตริย์นักรบเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่รัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (ครองราชย์ พ.ศ. 2133-2148) สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงเป็นที่กล่าวขานในปัจจุบันในด้านพระราชกรณียกิจการสงคราม แต่ที่น่าทึ่งก็คือ พระองค์ทรงสละเวลาสำหรับพระราชกรณียกิจในด้านอื่น ๆ อีกด้วย เช่น ทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องรามเกียรติ์จำนวน 5 ตอน ทั้งนี้ มีการนำ 1 ตอน (‘ท้าวมาลีวราชพิพากษาความ’) มาถ่ายทอดอย่างมีชีวิตชีวาผ่านตุ๊กตาที่ทำขึ้นด้วยมือและจัดแสดงในตำหนักเก๋งคู่หลังใหญ่
ตำหนักเก๋งสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของท้องพระโรง สมเด็จพระปิ่นเกล้าฯเสด็จพระราชสมภพ ณ พระราชวังเดิมในปี พ.ศ. 2351 เนื่องด้วยพระองค์ทรงดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารเรือเป็นพระองค์แรกระหว่าง พ.ศ. 2394 ถึง พ.ศ. 2408 จึงทรงได้รับการยกย่องในฐานะผู้วางรากฐานให้กับราชนาวีไทย อาคารหลังนี้ถือได้ว่าเป็นที่ประทับของพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูงที่มีรูปแบบสถาปัตยกรรมเป็นแบบตะวันตกหลังแรก ๆ ที่สร้างขึ้นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
ปัจจุบัน นอกเหนือจากการจัดแสดงนิทรรศการที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับพระชนม์ชีพและพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯแล้ว ชั้นบนของตำหนักยังจัดแสดงเครื่องเบญจรงค์อันล้ำค่า (ซึ่งในอดีตเครื่องถ้วยชามดังกล่าวสั่งทำเป็นพิเศษจากจีน) ส่วนชั้นล่างได้รับการดัดแปลงให้เป็นสำนักงานขนาดกะทัดรัดของมูลนิธิอนุรักษ์โบราณสถานในพระราชวังเดิม ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2538 เพื่อทำหน้าที่ระดมทุนและบูรณะมรดกสิ่งปลูกสร้างในพระราชวังเดิม
โครงการบูรณะพระราชวังเดิมได้รับ Award of Merit จากยูเนสโกในการประกวดรางวัลเพื่อการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ประจำปี พ.ศ. 2547 โดยการประกวดรางวัลดังกล่าวได้เชิดชูความสำเร็จในการอนุรักษ์อาคารสถานที่อันมีคุณค่าเชิงมรดกทางวัฒนธรรมในภูมิภาคนี้ตลอดระยะเวลา 2 ทศวรรษที่ผ่านมา คำอธิบายของยูเนสโกในการมอบรางวัลดังกล่าวยกย่อง ‘โครงการที่ทะเยอทะยานและครอบคลุมหลากหลายแง่มุม’ ในด้าน ‘การประยุกต์ใช้วิธีการและงานฝีมือแบบดั้งเดิมอย่างมีประสิทธิภาพ และการอนุรักษ์ตัวอย่างที่สำคัญของวิจิตรศิลป์หลวง’
อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จนี้มิได้ทำให้คุณหญิงนงนุช ศิริเดช นิ่งนอนใจ ในการให้สัมภาษณ์เมื่อไม่นานมานี้ คุณหญิงนงนุช ผู้ริเริ่มโครงการอนุรักษ์เมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้ว และปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองประธานกรรมการมูลนิธิอนุรักษ์โบราณสถานในพระราชวังเดิม กล่าวว่า ‘งานบูรณะโบราณสถานเป็นงานที่ต้องทำตลอด’ เช่นเดียวกับแหล่งมรดกริมแม่น้ำแห่งอื่น ๆ ที่ตั้งอยู่ในเขตภูมิอากาศร้อนชื้น ปัญหาต่าง ๆ อาทิ ความอ่อนตัวของดินริมแม่น้ำ ความชื้น และปลวก คือภัยที่คุกคามอย่างต่อเนื่องและสามารถสร้างความเสียหายร้ายแรงต่อโครงสร้างอาคารได้ หากไม่ได้รับการดูแลและบำรุงรักษาโดยผู้เชี่ยวชาญอย่างสม่ำเสมอภายใต้การบริหารจัดการของมูลนิธิ คุณหญิงนงนุชกล่าวว่า ‘อาคารเหล่านี้คงจะราบไปหมดแล้ว’
ที่สุดแล้ว คุณหญิงนงนุชหวังว่าการอนุรักษ์โบราณสถานในพระราชวังเดิมจะช่วยทำให้ประวัติศาสตร์มีชีวิตชีวา จับต้องได้ และเข้าถึงคนรุ่นต่อไปเพราะถ้าประวัติศาสตร์สามารถให้บทเรียนกับเราได้ บทเรียนจากประวัติศาสตร์สมัยกรุงธนบุรีที่น่าจะเป็นกำลังใจสำหรับเรา โดยเฉพาะในโลกยุคหลังการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ก็คือ จิตวิญญาณของมนุษย์มีความแข็งแกร่งอย่างเหลือเชื่อ แม้ในยามที่ต้องเผชิญกับภัยพิบัติที่ไม่คาดฝัน ด้วยความกล้าหาญและความไม่ย่อท้อที่จะดำรงอยู่และเจริญเฟื่องฟูต่อไป มนุษย์เราเรียนรู้ที่จะปรับตัว หล่อหลอมชีวิตความเป็นอยู่ขึ้นมาอีกครั้ง โดยรักษาเอกลักษณ์และวัฒนธรรมของตน และปลูกฝังการแสดงออกอย่างสร้างสรรค์เพื่อให้ชีวิตมีความหมายแม้ในช่วงเวลาที่คับขันที่สุด
1 of 5
ข่าวประชาสัมพันธ์
22 กุมภาพันธ์ 2024
รองเลขาฯ ยูเอ็น ขอบคุณ มท. พันธมิตร ขับเคลื่อน SDGs 76 จังหวัด
กรุงเทพมหานคร (19 กุมภาพันธ์ 2567) - รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มท. ให้การต้อนรับรองเลขาธิการสหประชาชาติ และผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย ในโอกาสเข้าแสดงความขอบคุณกระทรวงมหาดไทยที่ส่งเสริมการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ SDGs ในทุกมิติกับองค์การสหประชาชาติอย่างใกล้ชิดเมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 19 กุมภาพันธ์ ณ ห้องรับรองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ชั้น 2 ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้การต้อนรับ คุณอามีนา เจ โมฮัมเหม็ด (Ms. Amina J. Mohammed) รองเลขาธิการสหประชาชาติ คุณกีต้า ซับบระวาล (Ms. Gita Sabharwal) ผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย และคณะ ในโอกาสเข้าแสดงความขอบคุณในความร่วมมือและหารือข้อราชการโดยมี นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ดร.ศรินดา จามรมาน ที่ปรึกษาโครงการผ้าไทยใส่ให้สนุก ผศ.ดร.อนุชา ทีรคานนท์ คณบดีคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะทำงานโครงการผ้าไทยใส่ให้สนุก นางประเสริฐสุข เพฑูรย์สิทธิชัย ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย นายขจร ศรีชวโนทัย อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายชยชัย แสงอินทร์ รองอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน คณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นางมณฑ์หทัย รัตนนุพงค์ ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการข่าว กระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนผู้อำนวยการกองการต่างประเทศ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมให้การต้อนรับ และหารือข้อราชการ โอกาสนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวต้อนรับคุณอามีนา เจ โมฮัมเหม็ด (Ms. Amina J. Mohammed) รองเลขาธิการสหประชาชาติ คุณกีต้า ซับบระวาล (Ms. Gita Sabharwal) ผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย และคณะ และร่วมหารือข้อราชการในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเสริมสร้างความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมและการบริหารจัดการขยะ เพื่อมุ่งสู่การบรรลุเป้าหมาย SDGs พร้อมกล่าวว่า กระทรวงมหาดไทยได้จับมือทำงานร่วมกับสหประชาชาติอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับพื้นที่ซึ่งท่านปลัดกระทรวงมหาดไทยได้ร่วมกับท่านนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย สนับสนุนส่งเสริมให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 76 จังหวัด ร่วมเป็นภาคีในการขับเคลื่อนโลกให้บรรลุเป้าหมาย SDGsโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการรีไซเคิลขยะ การบริหารจัดการขยะ นอกจากนี้ กระทรวงมหาดไทยยังให้ความสำคัญกับประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การจัดการมลภาวะ การใช้พลังงานสะอาด เช่น โซลาร์เซลล์เพื่อสร้างรายได้ ซึ่งมีตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จในระดับจังหวัด อาทิ จังหวัดสุพรรณบุรีที่ผลิตพลังงานจากขยะ และจังหวัดสกลนครที่ใช้พลังงานจากโซลาร์เซลล์ผลิตน้ำดื่ม อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังประสบปัญหาเกี่ยวกับฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ซึ่งเกินค่ามาตรฐานในหลายพื้นที่ จากการเผาไหม้ทางการเกษตร ดังนั้น ทุกภาคส่วนเศรษฐกิจจึงต้องร่วมมือกันในการรณรงค์ส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม “กระทรวงมหาดไทยยินดีที่จะสนับสนุนการขับเคลื่อนการนำเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนไปปฏิบัติในเชิงพื้นที่ (SDG Localization) ให้บรรลุผลสำเร็จ เพื่อมุ่งสู่การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ในทุกมิติ และเป็นตัวอย่างที่ดีในระดับภูมิภาค และระดับโลกต่อไป” นายอนุทินกล่าวในช่วงท้ายคุณอามีนา เจ โมฮัมเหม็ด รองเลขาธิการสหประชาชาติ กล่าวว่า ตนและคณะรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เข้าเยี่ยมและหารือข้อราชการร่วมกับท่านรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมทั้งแสดงความขอบคุณและชื่นชมกระทรวงมหาดไทยที่ได้ให้ความร่วมมืออันดีกับสหประชาชาติ ในประเด็นด้านการขับเคลื่อนความยั่งยืน (Sustainability) มาเป็นระยะเวลายาวนาน ทั้งการเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดร่วมขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในระดับพื้นที่ และมีจังหวัดนำร่องในการนำ SDGs ไปปฏิบัติเชิงพื้นที่ โดยสหประชาชาติยินดีที่จะทำงานร่วมกับกระทรวงมหาดไทยเพื่อกระชับความร่วมมือให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการจัดการปัญหามลภาวะซึ่งเป็นปัญหาสำคัญระดับโลก ณ ขณะนี้ ทั้งในแง่การให้ความช่วยเหลือทางเทคโนโลยีเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ และการจัดทำโครงการนำร่องในระดับพื้นที่ นอกจากนั้น สหประชาชาติมีความยินดีที่กระทรวงมหาดไทยประสบความสำเร็จในการขับเคลื่อน SDGs ในระดับพื้นที่ โดยเฉพาะเรื่องการซื้อขายคาร์บอนเครดิตที่ประสบความสำเร็จ สามารถเป็นตัวอย่างในระดับโลกได้ ตัวอย่างที่สำคัญ เช่น โครงการถังขยะเปียกลดโลกร้อน โครงการธนาคารขยะรีไซเคิล (MOI’s Recyclable Waste Bank) และโครงการแฟชั่นที่ยั่งยืน (Sustainable Fashion)ทั้งนี้ ภายหลังจากเสร็จสิ้นการหารือ ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ได้นำคุณอามีนา เจ โมฮัมเหม็ด รองเลขาธิการสหประชาชาติ พร้อมด้วย คุณกีต้า ซับบระวาล ผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย และคณะ เยี่ยมชมนิทรรศการแฟชั่นผ้าไทยของศูนย์การเรียนรู้ขวัญตา (Khwanta Learning Center) จังหวัดหนองบัวลำภู ตามพระดำริแฟชั่นที่ยั่งยืน (Sustainable Fashion) และนิทรรศการความสำเร็จของการคัดแยกขยะ ผ่านตัวอย่างความสำเร็จขององค์การบริหารส่วนตำบลโก่งธนู จังหวัดลพบุรี ในด้านการจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อน และธนาคารขยะของกระทรวงมหาดไทย โดยมีการสาธิตวิธีการชั่งขยะขายในชุมชน บริเวณโถงชั้น 1 ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย อีกด้วย อ่านข่าวต้นฉบับ
1 of 5
ข่าวประชาสัมพันธ์
23 พฤศจิกายน 2023
ถึงเวลาให้ชุมชนนําทางมุ่งสู่การยุติเอดส์
เป็นเวลาเกือบ 40 ปีที่ประเทศไทยดําเนินการอย่างเข็มแข็งและต่อเนื่อง ด้วยความมุ่งมั่นเพื่อบรรลุเป้าหมายเพื่อยุติปัญหาเอดส์ ที่เป็นภัยคุกคามทางสาธารณสุข ตามเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals) ภายในปี 2573
ประเทศไทยเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางและเป็นต้นแบบในระดับนานาชาติของการมีผู้ได้รับผลกระทบ คือผู้ที่อยู่ร่วมกับเอชไอวีลุกขึ้นมาช่วยเหลือดูแลกันแบบ “กลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน” ตั้งแต่ปี 2538 และได้รวมกันเป็นเครือข่ายทั้งระดับจังหวัด ภูมิภาค เป็นเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย จากจุดเริ่มต้นแบบเพื่อนช่วยเพื่อน ต่อมาในปี 2564 มีการพัฒนาสู่งาน “ศูนย์องค์รวม” ซึ่งเป็นรูปธรรมของการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการพัฒนาระบบบริการด้านเอชไอวีร่วมกับโรงพยาบาล กลุ่มผู้ติดเชื้อฯ ได้พลิกบทบาทจาก ผู้รับบริการ เป็นผู้ร่วมจัดบริการ เคียงบ่าเคียงไหล่กับบุคลากรทางการแพทย์ ติดตามดูแลเพื่อน ๆ ทั้งทางด้านสุขภาพ จิตใจ สังคม และร่วมขับเคลื่อนพัฒนาระบบสุขภาพและสิทธิด้า นอื่น ๆ ร่วมกับชุมชน ปัจจุบัน มีกลุ่มที่ทํางานศูนย์องค์รวมทั้งหมด 219 กลุ่ม
"ไม่เพียงแต่ในประเทศไทยแต่เป็นที่ยอมรับของโลกว่า ความเป็นผู้นําของชุมชน โดยชุมชนมีส่วนร่วม ร่วมคิดร่วมทํา เป็นหุ้นส่วนอย่างแท้จริงในทุกขั้นตอน ตั้งแต่ การวางแผน การจัดบริการ การรณรงค์และการดําเนินการต่าง ๆ เป็นยุทธศาสตร์สําคัญมากและเป็นกุญแจสู่ความสําเร็จ อีกทั้งแนวคิดนี้ยังเป็นต้นแบบของการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนเพื่อแก้ปัญหาด้านสาธารณสุขอื่น ๆ ด้วย เช่น โควิด เป็นต้น” กล่าวโดย ดร. พัชรา เบญจรัตนาภรณ์ ผู้อํานวยการโครงการเอดส์แห่งสหประชาชาติ (UNAIDS)
การมีส่วนร่วมของชุมชนในการยุติปัญหาเอดส์ มีความสําคัญเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณในประเทศไทย ด้วยตระหนักว่าการตั้งรับอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ การระบาดของเอชไอวีเปลี่ยนรูปแบบและเพิ่มขึ้นในผู้ที่มีความเปราะบาง ได้แก่ LGBTQI+, ผู้ใช้สารเสพติด พนักงานบริการ กลุ่มเยาวชน และประชากรข้ามชาติ ดังนั้นจุดแข็งของความเป็นชุมชนคือเข้าใจและเข้าถึงความต้องการ ปัญหาและอุปสรรคของประชากรกลุ่มนี้ที่เป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบอันเนื่องมาจากเอชไอวี ผู้ที่เข้าถึงยาก ผู้ที่ยังมีความกลัว กังวลการตีตราเลือกปฏิบัติ จึงยังไม่เข้าสู่ระบบสุขภาพทั่วไป
คุณสุรางค์ จันทร์แย้ม ประธานคณะกรรมการองค์กรพัฒนาเอกชนด้านเอดส์ (กพอ.) และผู้อํานวยการมูลนิธิเพื่อนพนักงานบริการ (SWING) กล่าวว่า การดําเนินงานโดยชุมชนและเพื่อชุมชนนับว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่สําคัญของการยอมรับในบทบาทและศักยภาพของชุมชนจาก “ผู้รับบริการ” มาเป็น “ผู้ร่วมจัดบริการ” – ในรูปแบบ Community-Led Health Services โดยประเทศได้เข้ามาร่วมสนับสนุนการดําเนินงานภายใต้หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพื่อสร้างให้เกิดความยั่งยืนในการดําเนินงานของชุมชน ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าของประเทศต่อการแก้ปัญหาเอดส์
เภสัชกรหญิง ดร. ยุพดี ศิริสินสุข รองเลขาธิการสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า การมีส่วนร่วมชองชุมชนเป็นหน่วยร่วมบริการ เป็นยุทธศาสตร์ที่จะทําให้ประเทศไทยยุติเอดส์ได้จริง เข้าถึงประชากรที่ต้องการมากที่สุด ในแต่ละปี สปสช.ได้สนับสนุนงบประมาณสําหรับการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในกลุ่มประชากรเป้าหมาย โดยในปีงบประมาณ 2566 งบประมาณด้านบริการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี เป็นเงิน 575.70 ล้านบาท และจัดสรรให้องค์กรภาคประชาสังคม เพื่อร่วมจัดบริการประมาณ 182.25 ล้านบาทต่อปี เพื่อเข้าถึงการป้องกัน การตรวจเอชไอวี และการรักษาได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้เป็นที่น่ายินดีที่มีองค์กรภาคประชาสังคมเข้ารับการอบรมเพื่อร่วมจัดบริการ จากการพัฒนาหลักสูตรของสถาบันเพื่อการวิจัยและนวัตกรรมด้านเอชไอวี หลักสูตรของกรมควบคุมโรค และหลักสูตรของวิทยาลัยราชสุดา มหาวิทยาลัยมหิดล โดยมีการกําหนดมาตรฐานการจัดบริการเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในชุมชนที่ดําเนินการโดยองค์กรประชาสังคม และการประเมินมาตรฐานของการให้บริการ ทั้งนี้เพื่อเป็นการประกันคุณภาพของอาสาสมัครและองค์กรภาคประชาสังคม ที่เป็นหน่วยบริการที่รับการส่งต่อเฉพาะด้านบริการเอชไอวีฯ กับ สปสช. โดยขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยบริการแล้ว 39 องค์กร นายแพทย์นิติ เหตานุรักษ์ รองอธิบดี กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่าปัจจุบันมีอาสาสมัครฯ ที่ได้รับการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข 497 คน นอกจากนี้จากหลักสูตรวิทยาลัยราชสุดา มหาวิทยาลัยมหิดล อีก 88 คน รวมจํานวน 585 คน
การเป็นผู้นําของชุมชนในด้านการสะท้อนข้อมูลจากผู้ที่รับบริการหรือจากผู้ได้ผลกระทบโดยตรงอย่างเป็นระบบ นับว่าเป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง เป็นข้อมูลเชิงยุทธศาสตร์ต่อการกําหนดนโยบายและการปรับปรุงการดําเนินงานในทุกระดับได้อย่างดีและตรงเป้า ได้แก่ ระบบติดตามโดยชุมชน (Community-Led Monitoring, CLM) และการสํารวจดัชนีการตีตราผู้อยู่ร่วมกับเอชไอวี (Stigma Index Survey)
คุณศตายุ สิทธิกาน ผู้อํานวยการมูลนิธิแคร์แมท จังหวัดเชียงใหม่ มีประสบการณ์ตรงในการบริหารจัดการเครื่องมือทั้งสองระบบนี้โดยร่วมพัฒนาประเด็นการกํากับติดตาม และบริการที่มีคุณภาพ โดยยึดผู้รับบริการเป็นศูนย์กลาง รวมถึงการติดตามการตีตราและเลือกปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อเอชไอวีในจังหวัด ผ่านระบบติดตามโดยชุมชน (CLM) ปัจจุบันจังหวัดเชียงใหม่มีโรงพยาบาลเข้าร่วมระบบติดตามโดยชุมชนจํานวน 13 แห่ง โดยนําข้อค้นพบจาก CLM มาพัฒนาคุณภาพการบริการ ดังนี้ (1) การอบรมประเด็นอ่อนไหวเรื่องเพศสําหรับผู้ให้บริการด้านสุขภาพ (2) การพัฒนาเครือข่ายผู้ให้บริการเพร็พ ยาต้านไวรัสก่อนการสัมผัสเขื้อในระดับจังหวัด และ (3) การรณรงค์เพื่อสร้างความเข้าใจและลดการตีตราต่อผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวี ภายใต้แคมเปญ Undetectable = Untransmittable (U=U)
คุณพงศ์ธร จันทร์เลื่อน ประธานคณะอํานวยการการสํารวจดัชนีการตีตราผู้อยู่ร่วมกับเอชไอวี ประเทศไทย กล่าวถึงภาคีเครือข่ายภาคชุมชนในการทําการสํารวจ Stigma Index ที่เป็นส่วนหนึ่งของภาคีระดับโลกในระหว่างปี 2565-2566 เป็นการศึกษาที่ครอบคลุม 25 จังหวัดระดับประเทศ เป็นข้อมูลที่สะท้อนเรื่องราวของการตีตราและเลือกปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับเอชไอวีที่สําคัญมากชิ้นหนึ่งของประเทศไทย
คุณนิภากร นันตา ประธานมูลนิธิผู้หญิงที่อยู่ร่วมกับเอชไอวี ประเทศไทย เป็นผู้บริหารจัดการสํารวจนี้ มีความภาคภูมิใจที่ประเทศไทยเป็นไม่กี่แห่งของโลกที่องค์กรชุมชนผู้หญิงที่อยู่ร่วมกับเอชไอวีเป็นผู้ดําเนินการ ข้อมูล Stigma Index ซึ่งเป็นข้อมูลท่ีช่วยเปลี่ยนเสียงที่เคยเปล่งออกไปแต่ไม่ค่อยมีคนได้ฟังเป็นเสียงที่ดังขึ้น แสดงให้เห็นถึงผลกระทบจากการตีตราและการเลือกปฏิบัติต่อผู้หญิงที่อยู่กับเชื้อเอชไอวีที่ตั้งครรภ์ ความซับซ้อนกับการใช้สารเสพติต และชีวิตทางเพศและอนามัยเจริญพันธ์ ในขณะที่คุณซูฮายนงค์ สมาเฮาะ ผู้จัดการศูนย์ Care team สงขลายังต้องการการสนับสนุนจากภาครัฐทั้งการจัดบริการที่เป็นมิตรรอบด้าน และการสนับสนุนด้านกฎหมายในการลดอันตรายจากการใช้สารเสพติด
จากวันเอดส์โลกปีนี้ 2566 เหลือเพียงอีก 7 ปีที่จะถึงปี 2573 จากข้อมูลเชิงประจักษ์จากโครงการ EpiC ประเทศไทย ดําเนินการโดย Family Health International (FHI 360) ภายใต้การสนับสนุนจากแผนการฉุกเฉินของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ผ่านองค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา พบว่าค่าเฉลี่ยของระดับเซลล์ CD4 ณ วันที่ตรวจพบการติดเชื้อเอชไอวี ณ ศูนยส์ุขภาพชุมชนทั้ง 11 แห่งอยู่ที่ระดับ 429 เซลล์/ลบ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยประเทศที่ 172 เซลล์/ลบ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพขององค์กรภาคประชาสังคมในการร่วมจัดบริการเอชไอวี ที่ยังผลให้ผู้รับบริการรู้สถานะการติดเชื้อของตน เข้ารับการรักษาได้อย่างรวดเร็ว มีสุขภาพดี และลดการถ่ายทอดเชื้อเอชไอวี
นายแพทย์ สุนทร สุนทรชาติ ผู้อํานวยการสํานักอนามัย กรุงเทพมหานคร กล่าวถึง กรุงเทพมหานคร (กทม.) เข้าร่วม Fast Track Cities ตั้งแต่ปี 2557 มุ่งสู่ยุติเอดส์ด้วยความร่วมมือและเป็นหุ้นส่วนกับองค์กรชุมชนทําให้กทม.ได้รับรางวัลทั้งในและต่างประเทศที่เป็นเมืองที่สามารถตรวจเร็วรักษาเร็วภายในวันเดียวได้ อย่างมีประสิทธิผล มีการขยายการให้ยาต้านไวรัสก่อนการสัมผัสเชื้อฯ ได้มากที่สุดของประเทศ และเริ่มเห็นการลดลงของการติดเชื้อรายใหม่ในกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ประพันธ์ ภานุภาค ที่ปรึกษาอาวุโสด้านการวิจัยและนโยบาย สถาบันเพื่อการวิจัยและนวัตกรรมด้านเอชไอวี ผู้ตรวจพบผู้ป่วยเอดส์คนแรกของประเทศไทย มีความหวังว่า ประเทศไทยยังคงสามารถยุติปัญหาเอดส์ได้ตามเป้าหมายใน 7 ปีข้างหน้าได้อย่างแน่นอน ถ้าผู้กําหนดนโยบาย ผู้บริหาร เพิ่มการลงทุนให้แก่องค์กรชุมชนอย่างเต็มที่ในเวลาที่เหลืออยู่และทุกภาคส่วนช่วยกับสนับสนุน แก้ไขนโยบาย กฎระเบียบที่ไม่เอื้อต่อการทํางานองคก์รภาคชุมชน ที่มีพลังมากมายที่จะช่วยให้ประเทศไทยยุติเอดส์ได้จริง
1 of 5
ข่าวประชาสัมพันธ์
22 พฤศจิกายน 2023
UNGCNT-UN ประกาศปั้นบุคลากรทักษะสูงกว่าล้านคน รับเศรษฐกิจยุค 5.0 ยกโมเดลใหม่ Sustainable Intelligence สู่ความยั่งยืนปี 2030
22 พฤศจิกายน 2566 — สมาชิกสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (UNGCNT) ภาคีเครือข่ายด้านความยั่งยืน ร่วมกับสหประชาชาติในประเทศไทย (United Nations in Thailand) จัดประชุมผู้นำภาคเอกชนประจำปี ‘GCNT Forum 2023 : Partnership for Human Capital 5.0 – Towards Sustainable Intelligence ณ ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ รวมพลังพันธมิตรเพื่อพัฒนาคนยุค 5.0 สู่สังคมแห่งภูมิปัญญาที่ยั่งยืน ประกาศเจตนารมณ์ที่จะส่งเสริมการพัฒนาทรัพยากรบุคคล อย่างน้อย 1 ล้านคน ใน 133 องค์กรสมาชิกสมาคมฯ ภายในปี ค.ศ. 2030 เตรียมตั้ง Sustainable Intelligence Youth Club เพิ่มศักยภาพคนรุ่นใหม่ ในปี ค.ศ. 2024 ผ่านการเรียนรู้โดยตรงจากภาคธุรกิจและพันธมิตรสู่สังคมแห่งภูมิปัญญาที่ยั่งยืน โดยมีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานในงาน ณ ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ กรุงเทพมหานคร ในงานนี้ นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้ ดร.ปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานร่วมงานและกล่าวปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ “วิถีคิดผู้นำด้านการพัฒนาคนสู่เศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืน” โดยระบุว่า คนเป็นศูนย์กลางของการดำเนินงาน (human-centered approach) ตามแนวทางเศรษฐกิจใหม่ของรัฐบาลที่เรียกว่า “New Growth Path” เพื่อตอบโจทย์ Fifth Industrial Revolution ซึ่งประกอบด้วย 3 มิติคือ (1) Green growth การคำนึงถึงผลกระทบของการทำธุรกิจต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมด้วย (2) Innovation-driven growth การใช้ประโยชน์จากองค์ความรู้ นวัตกรรมด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแขนงต่างๆรวมทั้งเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยีดิจิทัลในการดำเนินนโยบายภาครัฐ และการทำธุรกิจของภาคเอกชน และ (3) Community-based growth การยกระดับแรงงานและการพัฒนากระบวนการผลิตที่ให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างความเข้มแข็งแก่ผู้ประกอบการ การสร้างงานโดยมีนโยบายด้านแรงงานที่นำไปสู่การจ้างงานเต็มที่ และงานที่มีคุณค่าสำหรับทุกคน โดยได้ระบุว่าภาคเอกชนสามารถเป็นแบบอย่างที่ดีในการดำเนินชีวิตและธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนในหลากหลายมิติเช่น การวัด carbon footprint ขององค์กร การสนับสนุนให้ supply chain ในธุรกิจเป็นธุรกิจสีเขียว การให้โอกาสธุรกิจเล็ก ๆ หรือ entrepreneursสร้างสรรค์ business model ใหม่ๆ “ในระยะต่อไป เราต้องเน้นการพัฒนาที่ยั่งยืนในระดับท้องถิ่น (SDG localization) ซึ่งหมายถึงการพัฒนาทักษะทั้ง upskill reskill และ new skills เพื่อพัฒนาคนให้เต็มศักยภาพในทุกช่วงวัย ให้มีความคิดสร้างสรรค์และริเริ่ม เพื่อตอบโจทย์ creative economy และเสริมสร้างผลิตภาพของประเทศในภาพรวม” ดร.ปานปรีย์ กล่าว ด้านนายศุภชัย เจียรวนนท์ นายกสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย หรือUNGCNT และประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด กล่าวรายงานในหัวข้อ “พัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่สังคมแห่งภูมิปัญญาที่ยั่งยืน” กล่าวว่า การเตรียมความพร้อมของ “คน” หรือทรัพยากรมนุษย์ นอกจากจะช่วยให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างแท้จริงแล้ว ยังจำเป็นสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในยุค 5.0 หรือยุคที่มนุษย์และเทคโนโลยี โดยเฉพาะปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ผสมผสานเป็นหนึ่งเดียวกัน พร้อมทั้งเสนอแนวทางเพิ่มเติมเพื่อพัฒนาทุนมนุษย์ สู่ “สังคมแห่งภูมิปัญญาที่ยั่งยืน” สำหรับนักเรียน นักศึกษา ต้องรู้จักใช้เทคโนโลยี เรียนรู้ด้วยการลงมือทำจริง (Action-Based Learning) และเพิ่มความสามารถในการปรับตัวด้วย Growth Mindset บ่มเพาะ “จิตสำนึกแห่งความยั่งยืน” ครูผู้สอน ต้องปรับบทบาทจากผู้สอน (Instructor) เป็น โค้ช ผู้นำกระบวนการเรียนรู้ (Facilitator) เพื่อบ่มเพาะผู้นำการเปลี่ยนแปลง และมีตัวชี้วัดที่ส่งเสริมความโปร่งใส โดยภาคเอกชน สามารถทำบทบาทนี้ได้ ด้วยการจัดกิจกรรมเป็นฐานหรือศูนย์การเรียนรู้ สอดคล้องกับ SDGs ข้อที่เกี่ยวกับธุรกิจของตนแรงงาน องค์กรควรปรับมุมมองในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ว่าเราจะใช้ประโยชน์จาก AI อย่างไรให้เสริมงานที่ทำ นายจ้างรวมถึง ภาครัฐ ควรเตรียมทักษะแรงงานและทรัพยากรมนุษย์เพื่อให้แรงงานปัจจุบันและอนาคต สามารถทำงานกับ AI ได้ โดยได้ยืนยันบทบาทของ UNGCNT ที่จะระดมกำลังสนับสนุนการปฏิรูประบบการศึกษา เพิ่มขีดความสามารถของครูอาจารย์ บุคลากรทางการศึกษา พัฒนาแรงงาน ให้มีทักษะเหมาะสม ต่อการเปลี่ยนผ่านสู่ยุค 5.0 เน้นการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม สร้างคน SI - Sustainable Intelligence ที่มี “ภูมิปัญญาที่ยั่งยืน” สร้างพื้นที่แห่งการพัฒนาที่ยั่งยืนแก่ทุกคน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง “ผมเชื่อว่า “คน” ที่มีภูมิปัญญาที่ยั่งยืน หรือคนยุค SI Over AI จะช่วยให้สังคมไทยและสังคมโลกเกิดการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม และร่วมมือกันจัดการกับข้อท้าทายต่างๆ บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้ง 17 ข้อ ได้จริงตามกำหนด” นายศุภชัย กล่าว ในขณะที่ นางกีต้า ซับบระวาล (Gita Sabharwal) ผู้ประสานงานสหประชาชาติประจําประเทศไทยได้ชี้ว่าการพัฒนาทุนมนุษย์ในยุคปัจจุบันมีความซับซ้อนมาก การยกระดับทักษะความสามารถของแรงงานเป็นวาระสำคัญเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของประเทศ และการพัฒนาบนหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน (BCG) ทีมสหประชาชาติในประเทศไทยพร้อมที่จะสนับสนุนหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนในการค้นหาทักษะที่จำเป็นในการเปลี่ยนผ่านดังกล่าว โดยจะต้องอาศัยวิธีการแบบบูรณาการรวมกัน ด้วยมุมมองล่างขึ้นบน (bottom up) และบนลงล่าง (top down) พร้อมกับการบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติ ซึ่งเป็นรากฐานของทุนมนุษย์ที่ยั่งยืน “เสาหลักของการพัฒนาประเทศในช่วงการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวคือการพัฒนา “ทุนมนุษย์” ซี่งจะช่วยสร้างผลลัพธ์ที่สูงขึ้น และเพิ่มศักยภาพประเทศให้มีบทบาทนำในเรื่องเศรษฐกิจหมุนเวียน นอกจากนี้ ความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยต่อ SDGs จะเป็นแรงผลักดันที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการเร่งยกระดับขีดความสามารถของภาคเอกชนในการร่วมบรรลุเป้าหมายเหล่านี้ นำโดย UNGCNT” นางกีต้า กล่าว หนึ่งในไฮไลท์สำคัญของงานนี้ คือการประกาศเจตนารมณ์ร่วมกันของสมาชิก UNGCNT ที่จะเร่งผลักดันนโยบายการพัฒนาบุคลากร ยกระดับความรู้ และทักษะเชิงเทคโนโลยี สร้างจิตสำนึกด้านความยั่งยืน ของบุคลากร อย่างน้อย 1 ล้านคน ใน 133 องค์กรสมาชิก ภายในปี ค.ศ. 2030 และจะพัฒนาศักยภาพบุคลากรของผู้ประกอบการตลอดห่วงโซ่อุปทาน เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนผ่านอย่างเป็นธรรม นอกจากนี้ ยังร่วมมือกันพันธมิตร ตั้ง Sustainable Intelligence Youth Club ในปี ค.ศ. 2024 เพื่อสนับสนุนเยาวชนให้มีทัศนคติและทักษะที่จำเป็นต่อการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ผ่านการเรียนรู้โดยตรงจากภาคธุรกิจและพันธมิตรสู่การสร้างสังคมแห่งภูมิปัญญาที่ยั่งยืน นอกจากนี้ ยังมีเวทีเสวนา 6 หัวข้อสำคัญ ได้แก่ การเสวนาของผู้นำธุรกิจ สมาชิก UNGCNT และพันธมิตรในภาคส่วนต่างๆ เพื่อร่วมมือกันขับเคลื่อนศักยภาพทุนมนุษย์ยุค 5.0 ได้แก่ (1) การเปลี่ยนแปลงสู่ความยั่งยืนในบริบทประเทศไทย โดยเฉพาะในมิติของคน (2) ปั้นคนให้ก้าวไปข้างหน้าและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง (3) เปลี่ยนผ่านคนอย่างเป็นธรรมสู่องค์กรสีเขียว (4) ปลุกศักยภาพคนรับการเปลี่ยนแปลงตลอดห่วงโซ่อุปทาน (5) ยกระดับคน สร้างพลังสังคม และสุดท้าย จะร่วมกัน (6) มองความยั่งยืนผ่านคนรุ่นอนาคต ทั้งนี้ GCNT Forum 2023 “พันธมิตรเพื่อพัฒนาคนยุค 5.0 สู่สังคมแห่งภูมิปัญญาที่ยั่งยืน” จัดขึ้น ณ ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ ตามรูปแบบการประชุมอย่างยั่งยืน (Sustainable Event) โดยสอดคล้องกับแนวทางของสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ สสปน. โดยมีสมาชิก UNGCNT และพันธมิตรเข้าร่วมงานกว่า 60 องค์กร 7 สถาบันการศึกษา 15 องค์กรเยาวชน อาทิ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) ผู้แทนที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) สถาบัน บัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Sasin School of Management) วิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) ศูนย์อาเซียนเพื่อการศึกษาและการหารือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน มหาวิทยาลัย มหิดล วิทยาลัยพัฒนศาสตร์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยานเรศวร ผู้นำองค์กรธุรกิจชั้นนำ อาทิ บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จํากัด บริษัท เอ็น อาร์ อินสแตนท์โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ปตท. สำรวจและผลิต ปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ธนาคารเอสเอชบีซี จำกัด (มหาชน) บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จํากัด บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) บริษัท ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
1 of 5
ข่าวประชาสัมพันธ์
30 ตุลาคม 2023
UNDP ร่วมกับ ก.ล.ต. TLCA และ GCNT เปิดตัว “คู่มือเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนสำหรับบริษัทจดทะเบียน และมาตรฐานผลกระทบ SDG” เพื่อส่งเสริมภาคธุรกิจไทยให้ดำเนินธุรกิจที่สนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่เปิดโอกาสทางการตลาดมูลค่ากว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
กรุงเทพฯ (27 ตุลาคม 2566) – โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Programme: UNDP) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) พร้อมด้วยสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย (TLCA) และสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (GCNT) จัดงานเปิดตัว “คู่มือเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนสำหรับบริษัทจดทะเบียน และมาตรฐานผลกระทบ SDG”
คู่มือเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนสำหรับบริษัทจดทะเบียนจัดทำขึ้นเพื่อใช้เป็นแนวปฏิบัติสำหรับภาคธุรกิจที่จะผนวกแนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืนเข้ากับการกลยุทธ์และการดำเนินธุรกิจ โดยกรอบการดำเนินธุรกิจและมาตรการการวัดผลกระทบด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนเป็นหลักการที่ถูกยอมรับระดับสากล ที่ภาคธุรกิจสามารถใช้เป็นแนวทางอ้างอิงในการดำเนินธุรกิจที่ส่งผลเชิงบวกด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม และสามารถจัดทำรายงานผลการดำเนินงานดังกล่าวได้โดยสอดคล้องตามข้อกำหนดในแบบการเปิดเผยข้อมูล 56-1 One Report
สำหรับมาตรฐานผลกระทบ SDGs นั้น คือ แนวปฏิบัติมาตรฐานแบบสมัครใจ เพื่อใช้ในการบริหารจัดการและดำเนินงานขององค์กร โดยออกแบบมาเพื่อช่วยให้ภาคธุรกิจรวมทั้งผู้ลงทุนสามารถผนวกแนวคิดด้านความยั่งยืนและเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนไว้ในระบบการบริหารจัดการและใช้ประกอบการพิจารณาตัดสินใจ โดยระบุเกี่ยวกับสิ่งสำคัญที่บริษัทจะต้องดำเนินการใน 4 เรื่อง ได้แก่ กลยุทธ์ แนวทางการจัดการ ความโปร่งใส และการกำกับดูแล ซึ่งการปฏิบัติตามแนวทางดังกล่าวจะช่วยให้บริษัทดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืนและสามารถบริหารจัดการเพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวก ซึ่งส่งผลดีสำหรับการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
ที่ผ่านมาคู่มือฉบับนี้ รวมถึงมาตรฐานผลกระทบ SDG ได้ให้กรอบการทำงานกับองค์กรที่สามารถตัดสินใจในประเด็นการพัฒนาที่ยั่งยืนได้ดีขึ้น ตั้งแต่ประเด็นลดก๊าซเรือนกระจก การจัดการขยะ ไปจนถึงสถานที่ทำงานที่มีความครอบคลุม นอกจากนี้ยังช่วยปรับเปลี่ยนโมเดลทางธุรกิจของทั้งองค์กรและของคู่ค้าให้สามารถสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ตลอดจนช่วยลดความเสี่ยง และสามารถคว้าโอกาสทางธุรกิจที่เกิดจากการปฏิบัติตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนอีกด้วย
เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเข้าร่วมงานเพื่อแสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับภาคธุรกิจและการพัฒนาที่ยั่งยืน ชี้ว่า "SDG guide book และ SDG Impact standards นี้เป็นทั้ง โอกาส และการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน (competitiveness) รูปแบบใหม่ สำหรับบริษัทจดทะเบียน และภาคธุรกิจในประเทศไทย เนื่องจากบริษัทสมัยใหม่ต้องการจะนำเงินมาลงทุนในประเทศที่มีความยั่งยืนชัดเจนมากยิ่งขึ้น”
ด้านกีต้า ซับบระวาล ผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย กล่าวชื่นชมการยกระดับตลาดทุนไทยให้เข้าถึงเครื่องมือและแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศที่สอดคล้องกับ SDGs โดยเน้นย้ำว่า “การเร่งขับเคลื่อน SDGs จะต้องอาศัยภาคเอกชนในฐานะผู้นำอุตสาหกรรม ตลอดจนการปฎิรูปห่วงโซ่อุปทานให้มีความยั่งยืนยิ่งขึ้นในทุกด้าน คู่มือเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ฯ ที่เปิดตัวในวันนี้ ถือเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อช่วยให้ภาคเอกชนปรับตัวเข้ากับแนวทาง ESG ได้อย่างแนบแน่นยิ่งขึ้น สหประชาชาติในประเทศไทยมุ่งหวังที่จะสนับสนุนการขับเคลื่อนประเทศครั้งประวัติศาสตร์สู่การเติบโตสีเขียวที่มั่งคั่ง คาร์บอนต่ำ ทนต่อสภาพภูมิอากาศ และมีความเป็นธรรม”
ภาคธุรกิจถือว่ามีบทบาทสำคัญในการพาประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งต้องอาศัยระบบนิเวศที่ต้องเริ่มมาตั้งแต่วิสัยทัศน์ของผู้บริหาร จนถึงการผลักดันการลงทุนในด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า “ก.ล.ต. มุ่งพัฒนาระบบนิเวศของตลาดทุนให้เอื้อต่อการขับเคลื่อนไปสู่ความยั่งยืน ด้วยการส่งเสริมให้ภาคธุรกิจตระหนักถึงเรื่องสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลที่ดี และผนวกเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินธุรกิจ สอดรับกับเป้าหมาย SDGs โดยเน้นบทบาทของคณะกรรมการและผู้บริหารระดับสูงในฐานะผู้นำบริษัท (tone from the top) ควบคู่ไปกับการผลักดันให้ผู้ลงทุนคำนึงถึงการลงทุนอย่างรับผิดชอบ เพื่อสร้างห่วงโซ่คุณค่าและระบบนิเวศที่ยั่งยืน นอกจากนี้ ยังสนับสนุนการใช้เครื่องมือทางการเงินใหม่ๆ เพื่อขับเคลื่อนเงินทุนจากภาคเอกชนสู่การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยร่วมมือและขับเคลื่อนร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในและต่างประเทศ ก.ล.ต. จึงหวังว่าคู่มือและมาตรฐานผลกระทบ SDGs จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยส่งเสริมให้บริษัทจดทะเบียนมีความรู้ความเข้าใจ โดยนำมาใช้ประกอบการดำเนินธุรกิจได้อย่างเป็นรูปธรรม และช่วยให้สามารถเปิดเผยข้อมูลการดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืนและจัดทำรายงานประจำปี (56-1 One Report) ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม สอดคล้องกับมาตรฐานสากล สร้างความน่าเชื่อถือและเป็นที่ยอมรับของผู้ลงทุน ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่าของกิจการ (value chain)”
โดยคู่มือเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนสำหรับภาคธุรกิจจะเป็นเครื่องมือที่สร้างมาตรฐานและบรรทัดฐานใหม่ในการทำธุรกิจ และช่วยสร้างบรรยากาศแห่งการมุ่งมั่นทำธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล อุปนายกสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย ชี้ว่า “ประเด็นการพัฒนาความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชนเป็นประเด็นที่สังคมโลกให้ความสำคัญมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง และได้กลายเป็นประเด็นหลักของทุกประเทศ รวมถึงประเทศไทย โดยทุกภาคส่วนของไทย ได้แก่ภาครัฐ ภาคเอกชน หน่วยงานกำกับ และทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ได้ให้ความสำคัญและกำหนดเรื่องดังกล่าวเป็นเป้าหมายร่วมกันในการขับเคลื่อนความยั่งยืนขององค์กรและของประเทศ อาทิ สำนักงาน ก.ล.ต. ได้ปรับปรุงการเปิดเผยข้อมูลในแบบรายงานประจำปี (แบบ 56-1 One Report) ให้ครอบคลุมนโยบายและแนวปฏิบัติด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชนของบริษัทจดทะเบียนตลอดจนห่วงโซ่คุณค่า (Value chain) และได้กลายเป็นมาตรฐานใหม่สำหรับบริษัทจดทะเบียนไทย ในการเรียนรู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ เปรียบเทียบ และแข่งขันระหว่างบริษัทจดทะเบียน รวมถึงการนำ ESG (Environment, Social, Governance) ผนวกเข้ากับกลยุทธในการดำเนินธุรกิจของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งเป็นช่องทางในการพัฒนาและต่อยอดในการขับเคลื่อนประเทศไทยให้บรรลุพันธกิจในการรักษาสิ่งแวดล้อมและการดูแลสิทธิมนุษยชนให้เป็นสากล”
เช่นเดียวกับศุภชัย เจียรวนนท์ นายกสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย ที่ย้ำถึงบทบาทของสมาคมฯ ว่า “สมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย มุ่งส่งเสริมการแข่งขันกันทำความดีอย่างสร้างสรรค์ หรือ “Race to the top” พร้อมร่วมมือกับพันธมิตรทุกภาคส่วน สนับสนุนบริษัทจดทะเบียนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทขนาดกลางและขนาดย่อมตลอดทั้ง supply chain ของไทย เปิดเผยรายงานด้านความยั่งยืนต่อสาธารณะที่มีความโปร่งใส ประสิทธิภาพ และตรวจสอบติดตามผลการดำเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรม”
และเพื่อเป็นการเร่งการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) เรอโน เมแยร์ ผู้แทนโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทย ระบุว่า “การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือของทุกภาคส่วนในสังคม รัฐบาลไม่สามารถทำให้สำเร็จได้เพียงผู้เดียว แต่ต้องอาศัยความรับผิดชอบร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ระหว่างตัวแทนภาครัฐและตัวแทนที่ไม่ใช่รัฐ โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติจึงทำงานใกล้ชิดกับภาคธุรกิจ และคาดหวังให้คู่มือเล่มนี้ให้แนวทางการปฏิบัติที่ชัดเจนกับบริษัทจดทะเบียน ไม่ใช่แค่เพียงเพื่อดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน แต่ยังสามารถประเมินผลกระทบด้าน SDGs เพื่อรายงานผลได้ด้วย มาตรฐานการประเมินและกรอบการทำงานภายใต้คู่มือนี้จะช่วยส่งเสริมการลงทุนของภาคธุรกิจให้สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน และโน้มน้าวให้บริษัทต่างๆ หันมาสร้างผลกระทบด้าน SDGs มากขึ้น”
สอบถามเพิ่มเติม โปรดติดต่อ
Aphinya Siranart
โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP)
aphinya.siranart@undp.org
----
Download the SDG guidebook
1 of 5
ข่าวประชาสัมพันธ์
02 พฤศจิกายน 2023
ไอโอเอ็มและกระทรวงการต่างประเทศผนึกกําลังผลักดันวาทกรรมการโยกย้ายถิ่นฐานและการรายงานข่าวเชิงประจักษ์ในประเทศไทย
กรุงเทพฯ (1 กันยายน 2566) – ประเทศไทยเป็นแหล่งของการโยกย้ายถิ่นฐานที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยจำนวนผู้ย้ายถิ่นที่ลงทะเบียนอาศัยอยู่ในประเทศกว่าสามล้านคน แม้รัฐบาลไทยจะพยายามผลักดันความคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิและความเป็นอยู่ที่ดีของแรงงานข้ามชาติ แต่แรงงานเหล่านี้ก็ยังตกเป็นเป้าของการตีตรา ที่บางครั้งก็มาพร้อมอคติและความหวาดกลัว
โดยตระหนักว่าสื่อมีบทบาทในการทัดทานทัศนคติเหมารวมเชิงลบต่อผู้ย้ายถิ่น องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (ไอโอเอ็ม) และกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) จึงได้ร่วมกันเปิดตัวโครงการระยะเวลาสองปีให้กับนักข่าว นักเรียนวารสาร และเจ้าหน้าที่รัฐผู้ปฏิบัติงานสาขาการสื่อสาร เพื่อผลักดันวาทกรรมเกี่ยวกับการโยกย้ายถิ่นฐานและการรายงานข่าวเชิงประจักษ์ในประเทศไทย
“การโยกย้ายถิ่นฐานเป็นประเด็นสำคัญทั้งในข่าวสารระดับประเทศและการถกเถียงในเวทีโลก ข้อมูลบิดเบือนและคำอธิบายที่คลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริงสามารถแพร่ไปได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์และความเข้าใจที่ผู้คนมีต่อประเด็นการโยกย้ายถิ่นฐาน และยังกระทบต่อผู้ย้ายถิ่นฐานและครอบครัวด้วย แม้แต่ผู้สื่อข่าวมืออาชีพก็อาจมีแนวโน้มที่จะนำเสนอหรือรายงานข่าวเกี่ยวกับประเด็นนี้คลาดเคลื่อนได้ หากไม่ได้รับการฝึกอบรมอย่างเหมาะสม” เจรัลดีน อองซาร์ค หัวหน้าสำนักงานไอโอเอ็มประจำประเทศไทย กล่าว
โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถของผู้ปฏิบัติงานด้านสื่อทั้งแบบดั้งเดิมและยุคใหม่ผ่านการใช้สื่อการเรียนรู้และการเข้าฝึกอบรมระยะสั้น เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรายงานประเด็นข่าวการโยกย้ายถิ่นฐานอย่างมีคุณภาพ และขณะเดียวกัน ก็ชี้ให้เห็นถึงความซับซ้อนของการโยกย้ายถิ่นฐาน รวมถึงโอกาสทางสังคมและเศรษฐกิจที่เป็นผลมาจากการโยกย้ายถิ่นฐานเมื่อมีการบริหารจัดการอย่างเหมาะสม
การฝึกอบรมนี้ต่อยอดมาจากประสบการณ์อันกว้างขวางของไอโอเอ็มในการทำงานร่วมกับผู้ปฏิบัติงานด้านสื่อทั่วโลก โดยเฉพาะความร่วมมือผ่านเครือข่าย Global Migration Media Academy (GMMA) ซึ่งเป็นเครือข่ายฝึกอบรมสื่อบนแพลตฟอร์มเพื่อการเรียนรู้ออนไลน์ที่เปิดให้เข้าถึงได้อย่างเสรี โดยมุ่งเน้นการรายงานข่าวเกี่ยวกับการโยกย้ายถิ่นฐานอย่างไม่แบ่งแยกและมีจริยธรรม ปัจจุบัน ไอโอเอ็มเป็นภาคีร่วมกับมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในหกประเทศทั่วโลก ซึ่งรวมถึงมหาวิทยาลัยแห่งชาติไอร์แลนด์กอลเวย์ (NUIG) ซึ่งเป็นเจ้าภาพการจัดการเรียนการสอนภาคฤดูร้อนของเครือข่าย GMMA เมื่อเดือนมิถุนายน 2565
“การฝึกอบรมเหล่านี้จะเป็นพื้นที่ให้สื่อไทยได้มีส่วนร่วมกับนักข่าวและนักวิชาการจากทั่วโลก เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวปฏิบัติที่ดีเกี่ยวกับการรายงานข่าวการโยกย้ายถิ่นฐาน” อองซาร์คเสริม
ไอโอเอ็มจะร่วมมือกับองค์กรสื่อ ภาคประชาสังคม และนักวิชาการในสาขาที่เกี่ยวข้อง รวมถึงสาขาวารสารศาสตร์ รัฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ และนิติศาสตร์ เพื่อพัฒนาหลักสูตรการเรียนรู้จากงานวิจัยและการศึกษาเดิมที่มีอยู่แล้วในบริบทประเทศไทย ซึ่งจะครอบคลุมหลากหลายหัวข้อ ตั้งแต่การโยกย้ายถิ่นฐานตามสภาพแวดล้อม ไปจนถึงการรายงานข่าวที่คำนึงถึงความหลากหลายทางเพศสภาพ และไอโอเอ็มจะสนับสนุนการฝึกอบรม จัดโดยมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ และมหาวิทยาลัยมหิดลในเดือนกันยายนและตุลาคม 2566 รวมทั้งงานสัมมนา เรื่อง ความรับรู้ของสาธารณชนต่อประเด็นการโยกย้ายถิ่นฐาน จัดโดยกระทรวงการต่างประเทศ ในเดือนธันวาคม 2566
“ในยุคดิจิทัลแห่งปัจจุบันที่มีการแพร่ระบาดของข่าวสารบิดเบือน ผู้กำหนดนโยบายจึงให้ความสำคัญกับสื่อในฐานะแหล่งข้อมูลข่าวสารที่มีอิทธิพล ดังนั้น ผู้สื่อข่าวที่รายงานข่าวโดยคำนึงถึงประเด็นที่มีความละเอียดอ่อน อยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริง และมีมาตรฐานทางจริยธรรม จะทรงพลังในการถ่ายทอดเรื่องราวที่ไม่เพียงแต่จะกำหนดวาทกรรมสาธารณะ แต่ยังมีอิทธิพลต่อวาทกรรมระดับนโยบายด้วย” นางกาญจนา ภัทรโชค อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ กล่าว
“ด้วยความร่วมมืออย่างเข้มข้นกับไอโอเอ็ม เราหวังที่จะเสริมสร้างความสามารถของผู้ปฏิบัติงานด้านสื่อในการจัดทำรายงานข่าวที่คำนึงถึงประเด็นที่มีความละเอียดอ่อนและเคารพสิทธิของผู้ย้ายถิ่น รวมทั้งส่งเสริมความสมานฉันท์ระหว่างประชาชนชาวไทยและชุมชนผู้ย้ายถิ่นไปพร้อมกัน”
ในภาพรวม โครงการนี้มุ่งหวังสนับสนุนการทำงานของรัฐบาลไทย ในฐานะประเทศ Champion Country ของ ข้อตกลงระหว่างประเทศว่าด้วย การโยกย้ายถิ่นฐานอย่างปลอดภัย เป็นระเบียบ และเป็นปกติ (GCM) ที่จะขับเคลื่อนหนึ่งในสี่คำมั่นสัญญาเพื่อ “ส่งเสริมการรับรู้ของสาธารณชนเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมเชิงบวกของผู้ย้ายถิ่น และยุติการเลือกปฏิบัติและการตีตราต่อผู้คนกลุ่มนี้”
โครงการร่วมนี้ ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อการพัฒนาแห่งองค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน
สอบถามเพิ่มเติม โปรดติดต่อ
อนุชมา เชรสธา
องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM)
anshrestha@iom.int
1 of 5
ทรัพยากรล่าสุด
1 / 11
ข้อมูล
10 ธันวาคม 2021
1 / 11